คนเราเกิดมาทำไม? ทำไมถึงเกิดมา?
คนเราเกิดมาทำไม? why we born?
นี่เป็นคำถามที่ถูกถามมากใน Google เรายังโชคดีที่เป็นคนไทย ถึงพอจะทราบคำตอบแล้ว แต่กับคนต่างชาติ เขายังไม่รู้เรื่องนี้
แต่ก็มีคนไทยบางส่วน ที่ยังไม่ทราบคำตอบ ดังนั้น ผมก็จะบอกคำตอบให้ไป พร้อมๆกับเพื่อนๆชาวต่างชาติ ที่อ่านบทความนี้อยู่นะครับ ( เพื่อนชาวต่างชาติ ให้ใช้ Google translate เอานะครับ เพราะผมไม่ได้พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ )
บางลัทธิ บอกว่า คนเราเกิดมา เพราะสิ่งสูงสุดบันดาลให้เกิด นั่นไม่ใช่คำตอบนะครับ - อันนี้ ผมถือเป็นคำถามข้อที่ 1. ที่จะขอเก็บไว้อธิบายอีกที
คำถามถัดมา คือ ทำไมบางคนเกิดมา สูง ต่ำ ดำ ขาว ไม่เหมือนกัน บางคนพิการ บางคนเป็นโรคร้าย บางคนไม่เป็น บางลัทธิตอบว่า เป็นเพราะสิ่งสูงสุด กำหนดไว้อย่างนั้น นั่นก็ไม่ใช่คำตอบอีกเหมือนกัน
ทุกคนก็อยากจะ หล่อ สวย รวย ได้รับการยอมรับในสังคม สุขภาพดี และอายุยืน กันทั้งนั้น แต่ทำไมบางคนก็ได้ บางคนก็ไม่ได้ และถ้าบอกว่า สิ่งสูงสุดกำหนดไว้อย่างนั้น ก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกอีก อันนี้ ผมถือเป็นประเด็นคำถามข้อที่ 2.ที่จะขอเก็บไว้ตอบอีกทีนะครับ
เอาล่ะครับ เรามาดูตำตอบกัน และรับรองว่า "คุ้มค่า" กับการอ่านคำตอบของผมแน่ เพราะผม "ไม่ได้คิดไปเอง" ในการตอบคำถามนี้นะครับ
ขอแทรกนิดนึงครับ เมื่อคุณได้ยินคำว่า "พระพุทธศาสนา" คุณต้องเข้าใจก่อนว่า คำสอนบางเรื่อง "ถูกแต่งเสริมขึ้นมาใหม่" ไม่ใช่คำพูดของพระพุทธเจ้า ดังนั้น พอคุณเข้าวัดไทยนี้ ไปถามปัญหานี้ พระก็ตอบอย่างหนึ่ง พอไปเข้าวัดไทยอีกวัดหนึ่ง พระก็ตอบอีกอย่างหนึ่ง คุณก็เลย งง ว่า จริงๆแล้ว "พระพุทธศาสนา" ให้คำตอบกับเรื่องต่างๆไว้อย่างไรกันแน่ / พอคิดอย่างนี้แล้ว คุณก็จะขาดศรัทธา และคิดว่า พระพุทธศาสนา ก็คือ ลัทธิ ลัทธิหนึ่งเท่านั้น ที่แต่งเรื่องต่างๆขึ้นมา เพื่อทำให้เรางมงาย เชื่อถือ โดยมีจุดประสงค์เพื่อจะเรียกเงินบริจาคจากกระเป๋าเรา
และสมมติว่า คุณไปเปิดพระไตรปิฏก ซึ่งถือว่าเป็นตำราที่สำคัญของพระพุทธศาสนา เพื่อหาคำตอบ ก็กลับกลายเป็นว่า ในพระไตรปิฏกนั้น มี "คำแต่งใหม่" แต่งเสริมเข้าไปอีกเป็นจำนวนมาก / คำว่า "คำแต่งใหม่" ก็หมายความว่า "ไม่ใช่" คำพูดของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำพูดของคนอื่น ที่แต่งเสริมเข้ามา แล้วคนก็เข้าใจผิด คิดว่าเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า
แล้วจริงๆแล้ว ส่วนไหนของ "พระพุทธศาสนา" ที่เราจะเชื่อได้ ในเมื่อไปวัดไทยต่างๆก็ไม่ได้คำตอบ และในพระไตรปิฏก ก็ไม่รู้ว่าอันไหน เป็น "คำแต่งใหม่" ที่ถูกมั่วขึ้นมา
แก่นแท้ ของพระพุทธศาสนา ก็คือ "คำพูดของพระพุทธเจ้า ล้วนๆ" ที่ไม่มีการเสริมแต่งขึ้นมานะครับ นี่แหละ ที่คุณสามารถเชื่อถือได้
เราโชคดี ที่เกิดมาในยุคนี้ ยุคที่มีคน "วิเคราะห์" อย่างจริงจังว่า อันไหนเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า อันไหนเป็นคำพูดที่ถูกแต่งใหม่ แล้วคัดส่วนที่เป็นคำแต่งใหม่ทิ้งไป เหลือแต่คำพูดของพระพุทธเจ้าล้วนๆ
ซึ่งศัพท์ภาษาบาลี ที่เป็นชื่อเฉพาะ ที่ใช้กับ "คำพูดของพระพุทธเจ้า ล้วนๆ" ก็คือ พุทธวจน นะครับ
ย้อนกลับไปที่คำถามทั้ง 2 ข้อที่ผมตั้งโจทย์ไว้ก่อนหน้านี้ / ซึ่งผมจะบอกว่า การให้คำตอบกับ 2 เรื่องนี้ ผมใช้คำตอบที่ได้มาจาก พุทธวจน นะครับ ดังนั้น คุณจะได้คำตอบจริงๆ ที่มาจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้า ที่ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้ว
ผมศึกษาหลักศาสนามา 30 กว่าปีแล้ว
ผมศึกษาหลักศาสนาต่างๆมาเป็นเวลา 30 กว่าปีแล้ว เพราะมีความสนใจเป็นพิเศษ และพระพุทธศานา ก็เป็นหนื่งในศาสนาที่ผมศึกษาด้วย
ผมต้องขอยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ ก็เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันมีบางจุดที่ "คำพูดมันขัดกัน" แต่ในช่วง 10 ปีหลังนี้ หลังจากได้มาศึกษา พุทธวจน แล้ว ผมถึงกับ "อึ้ง" ไปเลย เพราะคำพูดใน พุทธวจน นั้น เป็น "คำพูดที่ไม่ชัดกันเลย" แม้แต่ประโยคเดียว / ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ฉลาด หากเราจะศึกษาเฉพาะ พุทธวจน เท่านั้น
มาเข้าคำตอบสำหรับคำถามที่ 1 กันครับ
คำถามที่ 1 - คนเราเกิดมาทำไม? คำตอบเป็นดังนี้ครับ ผมจะเรียงลำดับให้นะครับ
* * * มีสิ่งที่สำคัญอยู่ 2 สิ่ง คือ อสังขตาธาตุ ( อ่านว่า อะ-สัง-ขะ-ตา-ธา-ตุ ) และ สังขตาธาตุ ( อ่านว่า สัง-ขะ-ตา-ธา-ตุ )
* * * อสังขตาธาตุ ก็คือ ความว่างเปล่า ส่วน สังขตาธาตุ ก็คือ ตัวตนต่างๆ ที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้ ( คุณกำลังนั่งอ่านบทความผมอยู่นี้ คุณก็อยู่ในระบบของ สังขตาธาตุ นะครับ )
* * * การเกิด มีขึ้นมาได้เพราะ "มีสิ่งๆหนึ่งใน อสังขตาธาตุ" นั้น มาหลงเพลินพอใจ กับ รูปรสกลิ่นเสียง ใน สังขตาธาตุ นั้น
ขอแทรกนิดนึงครับ - คำว่า "มีสิ่งๆหนึ่งใน อสังขตาธาตุ" คุณผู้อ่านอาจจะ งง เพราะในเมื่อ อสังขตาธาตุ คือความว่างเปล่า นี่นา แล้วมันจะมีสิ่งๆหนึ่ง อยู่ใน ความว่างเปล่าได้อย่างไร? คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือว่า ที่พระพุทธเจ้าเรียกมันว่า "สิ่งๆหนึ่ง" ก็เพราะว่า ไม่สามารถนิยามได้ว่า มันคืออะไร แต่มัน "มีอยู่" / เอาเป็นว่า ตรงนี้ คุณผู็อ่านอาจจะไปศึกษาเอาทีหลังได้ แต่ว่า มันไม่ใช่ประเด็นที่จะใช้ตอบคำถามนี้นะครับ เดี๋ยวมันหลุดประเด็นไป ผมขอวกไปตอบคำถามนี้ต่อก่อนนะครับ
* * * ประโยคที่ว่า "มีสิ่งๆหนึ่งใน อสังขตาธาตุ" นั้น มาหลงเพลินพอใจกับ รูปรสกลิ่นเสียง ใน สังขตาธาตุ / คำว่า มาหลงเพลินพอใจ นั้น พระพุทธเจ้าเรียกว่า อวิชชา ( อ่านว่า อะ-วิช-ชา ) ซึ่งแปลว่า ความไม่รู้ / คือ เพราะความไม่รู้ว่า สิ่งนั้น ( คำว่า "สิ่งนั้น" หมายถึง สิ่งที่เรามาหลังเพลินพอใจอยุ่ ) มันไม่เที่ยง ก็เลยมาหลงกับ รูปสวย รสชาติอร่อย กลิ่นหอม เสียงดนตรี เสียงพูดที่นุ่มนวลไพเราะ
* * * เมื่อ "สิ่งๆหนึ่งใน อสังขตาธาตุ" นั้น มาเพลินพอใจกับ รูป รส กลิ่น เสียง ใน สังขตาธาตุ / ก็เลยมีการ "เกิด" เป็นตัวเป็นตนขึ้นม / คือจากตอนแรกที่ไม่มีรูปร่าง ( เพราะเป็นความว่างเปล่า คือ อยู่ใน อสังขตาธาตุ อยู่ ) ก็มามีรูปร่าง อยู่ในโลกมนุษย์ ( คือมีการเกิดเป็นตัวเป็นตน ใน สังขตาธาตุ ( คือโลก ) แล้ว )
* * * พอเกิดเป็นตัวเป็นตน ใน สังขตาธาตุ แล้ว ก็เริ่มมีความทุกข์แล้ว เพราะเมื่อมีการ "เกิด" ก็ต้องมีการ "แก่ ,เจ็บ ,ตาย" ตามมา
* * * แต่เพราะมี อวิชชา อยู่ ( คือ ความไม่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ใน สังขตาธาตุ มันไม่เที่ยง ) ก็เลย "ยึดติด" และเมื่อ "ยึดติด" แล้ว ก็ต้อง เกิด ,แก่ ,เจ็บ และตาย ซ้ำแล้วซ้ำอีก นับภาพนับชาติไม่ถ้วน
* * * ถ้าเรา "ไม่ต้องการเกิดอีก" คือเราอยากให้ชาตินี้ของเรา เป็นชาติสุดท้ายแล้ว ชาติหน้าไม่ต้องมาเกิดอีก เราก็แค่ ทำลายการ "ยึดติด" นั้น ด้วยการทำลาย อวิชชา ทิ้ง ( ซึ่งก็คือการทำลาย "ความไม่รู้" ทิ้ง )
* * * การทำลาย อวิชชา ทิ้ง ( หรือการทำลาย "ความไม่รู้" ทิ้ง ) ต้องทำลายด้วยการรู้ อริยสัจ 4
* * * การรู้ อริยสัจ 4 คือ การรู้ว่า ความทุกข์คืออะไร ( ทุกข์ ) / สิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์คืออะไร ( สมุทัย ) / ความดับทุกช์ คืออะไร ( นิโรธ ) / วิธีทำ เพื่อการดับทุกข์ ต้องทำอย่างไร ( มรรค )
* * * เมื่อเรารู้ อริยสัจ 4 แล้ว เราก็จะเลิก "ยึดติด" และมีการ "ปล่อยวาง" คามยึดมั่นใน รูป รส กลิ่น เสียง ได้
* * * พอเราไม่ยึดมั่นใน รูป รส กลิ่น เสียง ( เพราะเรามีการ "ปล่อยวาง" แล้ว ) ชาตินี้ที่เราเกิด ก็จะเป็น "ชาติสุดท้าย" แล้ว เพราะหลังจากเราตายไปชาตินี้แล้ว เราก็จะกลับไปอยู่ที่ อสังขตธาตุ ( ความว่างเปล่า ) เหมือนเดิมอีกครั้ง
* * * ซึ่งในการกลับไปสู่ อสังขตาธาตุ ( ความว่างเปล่า ) อีกครั้ง หรือที่เรียกว่า นิพพาน นี้ เราจะไม่หวนกลับคืนมา สังขตาธาตุ อีกแล้ว เพราะเรารู้แล้ว ( คือทำลาย อวิชชา ไปแล้ว ) ดังนั้น พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่นิพพานไปแล้ว ( เพราะทำลาย อวิชชา ไปแล้ว ) จึงไม่หวนกลับมาเกิดอีก
ความเร่งด่วนที่ต้องศึกษา อริยสัจ 4
พระพุทธเจ้า ตรัสถามภิกษุว่า ถ้าไฟกำลังไหม้ศีรษะ เธอจะทำอะไรก่อน? พระภิกษุตอบว่า ต้องรีบดับไฟที่ไหม้บนศึรษะก่อน / พระพุทธเจ้า ตรัสว่า "ไม่ใช่" จริงๆแล้ว เธอต้องรู้ อริยสัจ 4 ก่อน เพราะเป็น "ความจำเป็นเร่งด่วน" ที่เราจะต้องรู้ อริยสัจ 4 ก่อน / ส่วนการทำอย่างอื่น เป็นเรื่องที่ตามมาภายหลัง ( หมายถึงว่า การดับไฟที่กำลังลุกบนศีรษะ คือเรื่องที่ทำภายหลังได้ แต่เราจำเป็นจะต้องรู้ อริยสัจ 4 ก่อน ( แล้วถึงค่อยดับไฟที่ศีรษะในภายหลัง - เห็นไหมว่า มันจำเป็นเร่งด่วนขนาดไหน? ) )
ถ้าคุณถามผมว่า รู้ได้อย่างไรว่าที่พระพุทธเจ้าพูดนั้น เป็นเรื่องจริง พิสูจน์สิ?
ทำไมท่านถึงถูกขนานนามว่า พระพุทธเจ้า? คำตอบก็คือ เพราะท่านเป็น สัพพัญญู ( อ่านว่า สับ-พัน-ยู ซึ่งแปลว่า รู้ทุกเรื่อง ) และท่านใช้ความเป็น สัพพัญญู ของเท่าน เห็นคำตอบของเรื่องนี้ ( เรื่อง อริยสัจ 4 ) นั่นเอง
คือ ถึงผมจะพิสูจน์ไม่ได้ว่า ความเป็น อสังขตาธาตุ และความเป็น สังขตาธาตุ มีอยู่จริง / แต่ความเป็น สัพพัญญู ของพระพุทธเจ้า ท่านได้ให้คำตอบไว้อย่างนี้ / ถ้าคุณผู้อ่านคิดว่า รู้ได้อย่างไรว่า มันมีอยู่จริง? ( คือหมายความว่า รู้ได้อย่างไรว่า อสังขตาธาตุ และ สังขตาธาตุ มีอยู่จริง? ) ผมก็ต้องย้อนถามว่า แล้วท่านรู้ได้อย่างไร ว่ามันไม่มีอยู่จริง?
ทั้งหมดทั้งมวล ก็คือต้องย้อนกลับมาดูว่าคำพูดของพระพุทธเจ้าเป็นจริงหรือไม่? เชื่อถือได้ไหม? ( เพราะท่านเป็นคนพูดเรื่อง ความเป็น อสังขตาธาตุ และความเป็น สังขตาธาตุ ดังนั้น ถ้าคำพูดของท่านเชื่อถือได้ เรื่องของความเป็น อสังขตาธาตุ และความเป็น สังขตาธาตุ ก็ต้องเชื่อถือได้เช่นกัน )
* * * ลองมองในแง่วิทยาศาสตร์ พระพุทธเจ้า ตรัสไว้เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วว่า การกำเนิดจักรวาล จะเป็น "น้ำ" ทั้งหมดก่อน / แล้วน้ำหายไป เกิดเป็นจักรวาลขึ้นมา
ในปัจจุบัน เราค้นพบว่า มีธาตุฮีเลี่ยม ( H ) อยู่ในจักรวาลมากที่สุด ซึ่งธาตุฮีเลี่ยม ( H ) ก็คือส่วนประกอบทางเคมีของน้ำ ( H2O )
แล้วคิดดูว่า พระพุทธเจ้า ท่านพูดไว้เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว ว่า มี H2O ( หมายถึง น้ำ ) เต็มทั้งหมดในจักรวาลก่อน แล้ว H2O หายไป เกิดขึ้นเป็นจักรวาล แล้วท่านรู้ได้อย่างไรล่ะว่า มีธาตุ H อยู่ในจักรวาล มันน่าแปลกไหม? ( คือท่านไม่ได้บอกว่ามี ฮีเลียม ( H ) ในจักรวาล แต่ท่านบอกว่า มี "น้ำ" ( ซึ่งสมัยนี้ เราเรียกมันว่า H2O ) เป็นพื้นฐานของจักรวาล )
* * * พระพุทธเจ้า บอกเมื่อสองพันกว่าปีก่อนว่า โลกมีลักษณะ คล้ายมะขายป้อม ( คือเกือบกลม ) ในขณะที่ลัทธิอื่น ยังบอกว่า "โลกแบน" อยู่เลย / ถ้าท่านไม่รู้จริง ถ้าไม่ใช่ สัพพัญญู แล้วท่านจะบอกได้อย่างไรว่าโลกมีลักษณะ คล้ายมะขายป้อม / ท่านก็ต้องบอกว่า "โลกแบน" เหมือนลัทธิอื่นไปแล้ว
* * * พระพุทธเจ้า ท่านบอกไว้เมื่อสองพันกว่าปีก่อน ว่า เมื่อขึ้นไปบนฟ้า จนมองเห็นทวีปเล็กเท่าใบบัวแล้ว ( หมายถึง ประเทศอินเดีย ) จะมี "ลม" ที่อยู่ในความสูงขนาดนั้นที่ "ทำลายนก" ให้กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้
พึ่งมาค้นพบกันในสมัยนี้เองว่า เมื่อขึ้นไปสูงๆ จนเกือบถึงชั้นบรรยากาศโลก มันจะมีอยู่ชั้นบรรยากาศหนึ่ง ที่มีลมพัดแรงมาก สามารถทำลายสิ่งของให้เสียหายได้ คือมันมีอยู่จริงๆ ตามคำพูดของพระพุทธเจ้า
ลองคิดดูว่า คนสมัยเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว สมัยที่ยังไม่มีเครื่องบิน เครื่องร่อน ที่จะทำให้ตัวเองไปอยู่บนท้องฟ้าได้ จะรู้ได้อย่างไรว่า ที่ความสูงขนาดนั้น ( หมายถึงความสูงที่ ถ้ามองลงมา จะเห็นประเทศอินเดียว เล็กเท่าใบบัว ) จะมีลมแรงๆ ( ที่พูดถึง ) นั้นได้
* * * ผมขอ "ท้า" คุณผู้อ่านว่า ขอให้คุณลองไปตรวจสอบกับ พุทธวจน ได้เลยว่า มีสิ่งไหนที่พระพุทธเจ้าท่านพูดผิด / และตัวท่านเอง ( หมายถึง พระพุทธเจ้า ) ก็บอกไว้ว่่า คำพูดของท่าน ( คือ พุทธวจน นั้น ) เป็น อกาลิโก ( อ่านว่า อะ-กา-ลิ-โก ) คือเป็น "ความจริงตลอดกาล" ทุกประโยค ทุกคำพูด
มันน่าท้ายทายดีไหม?
มันน่าท้ายทายในแง่ที่ว่า การที่ พระพุทธเจ้า ท่านพูดไว้เมื่อสองพันกว่าปีก่อนว่า คำพูดของท่าน ( คือ พุทธวจน นั้น ) เป็น อกาลิโก ไม่มีใครในโลก สามารถหักล้างได้ / มัน "ท้าทาย" คุณผู้อ่านดีไหม? ว่าอยากจะลองหักล้างให้ได้
อีกคำถามหนึ่ง ที่ผมยังไม่ได้ตอบ
อีกคำถามหนึ่งที่ยังไม่ได้ตอบ คือ ทำไมบางคนเกิดมา สูง ต่ำ ดำ ขาว ไม่เหมือนกัน บางคนพิการ บางคนเป็นโรคร้าย บางคนไม่เป็น
คำตอบก็คือว่า เพราะกรรมเก่าที่คุณเคยทำมา "ด้วยตัวเอง" ในอดีตชาติ / คือไม่ได้มีคนอื่นมากำหนดท่านว่า ต้องเกิดมาพิการนะ ต้องการมาเป็นโรคร้ายนะ ฯลฯ / แต่คุณทำกรรมต่างๆ ในอดีตชาติ "ด้วยตัวเอง" ( คำว่า กรรม แปลว่าการกระทำ / ดังนั้น คำว่า กรรมเก่าในชาติก่อน ก็คือการกระทำของตัวคุณเองในชาติก่อน )
การทำกรรมต่างๆ ในอดีตชาติ "ด้วยตัวเอง" ของคุณ มันก็จะส่งผลมาถึงชาตินี้ ทำให้คุณ สูง ต่ำ ดำ ขาว พิการ-ไม่พิการ เป็นโรคร้าย-ไม่เป็นโรค
ไม่มีสิ่งสุงสุด กำหนดให้คุณต้อง สูง ต่ำ ดำ ขาว พิการ-ไม่พิการ เป็นโรคร้าย-ไม่เป็นโรค แต่เป็นเพราะกรรมที่คุณทำ "ด้วยตัวเอง" เมื่อชาติก่อน
แล้วรู้ได้อย่างไร พิสูจน์สิ?
ถ้าคุณมีคำถามในใจยว่า สิ่งที่ผมพูดมานี้ เป็นจริงไหม? ไหนลองพิสูจน์สิ ผมก็ต้องขอตอบว่า ก็มันเป็นเรื่องในชาติก่อนของท่าน ผมไม่สามารถพิสูจน์ได้ "แต่" คนที่ให้คำตอบนี้ ก็คือ พระพุทธเจ้า ที่ท่านใช้ความเป็น สัพพัญญู ของท่านตอบเอาไว้เช่นนี้
ลองคิดถึงเหตุผลว่า ถ้าบอกว่า สูง ต่ำ ดำ ขาว พิการ-ไม่พิการ เป็นโรคร้าย-ไม่เป็นโรค เป็นการกำหนดของสิ่งสูงสุด แล้วบอกว่า ความซวยทั้งหมด ( เช่นการที่ท่านเกิดมาขี้เหร่ หรือชีวิตเจอแต่เรื่องไม่ดี มีเภทภัย ) นั้น "เป็นการทดสอบ"
การให้คำตอบว่า "เป็นการทดสอบ" มันไม่มีเหตุผลเลย ทำไมแค่ "เป็นการทดสอบ" ของใครบางคน ถึงกับจะต้องทำให้คุณมีทุกข์ขนาดนี้ด้วย ในขณะที่คนอื่นเขามี่ความสุข มีทุกอย่างพร้อม คือ หล่อ สวย รวย ได้รับการยอมรับในสังคม สุขภาพดี และอายุยืน แต่คุณกลับมีทุกอย่างที่ตรงกันข้าม มันยุติธรรมหรือที่คุณ "ถูกทดสอบ" โดยสิ่งสูงสุดนั้น ( เหตุผลนี้ ช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย )
แต่ถ้าคุณผู้อ่านเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ที่คุณ สูง ต่ำ ดำ ขาว พิการ-ไม่พิการ เป็นโรคร้าย-ไม่เป็นโรค นั้น เพราะคุณทำกรรมมา "ด้วยตัวเอง" ในชาติก่อน ( ตามที่ พระพุทธเจ้า ตรัสบอกไว้ ) คุณก็จะเลิกน้อยใจ เพราะคุณรู้ความจริงแล้วว่า คุณทำกรรมในชาติก่อนมา "ด้วยตัวเอง" ไม่ได้มีใครมากำหนดให้คุณต้อง สูง ต่ำ ดำ ขาว พิการ-ไม่พิการ เป็นโรคร้าย-ไม่เป็นโรค แต่อย่างใด
เมื่อคุณรู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ( คือรู้ว่า ที่คุณ สูง ต่ำ ดำ ขาว ฯ เพราะคุณท่านกรรมมา "ด้วยตัวเอง" ใมชาติก่อน ) จะทำให้คุณเกิดความระมัดระวังตัว ไม่ทำกรรมไม่ดีในชาตินี้ เพราะกลัวว่าจะส่งผลกรรมไม่ดี ไปชาติหน้าอีก ( เพราะถ้าคุณทำกรรมไม่ดีในชาตินี้ "ซ้ำ" อีกทีแล้ว / ไอ้ที่คุณว่าชาตินี้ ชีวิตมันแย่ ชีวิตมันห่วย รับรองว่าชาติหน้า มันจะยิ่งแย่กว่านี้อีก )
สรุป
1.คำถามที่ว่าคนเราเกิดมาทำไม? ที่ต้องเปลี่ยนคำถามใหม่ เป็น ทำไมเราถึงเกิดมา?
คำตอบก็คือ
* * * ในครั้งแรก เราคือสิ่งว่างเปล่า ( อสังขตาธาตุ ) จากนั้น เราก็มี อวิชชา ( แปลว่า ความไม่รู้ ) ทำให้มาหลงเพลินพอใจใน รูป รส กลิ่น เสียง ที่อยู่ใน สังขตาธาตุ ( คือ โลกที่เรายืนอยู่ในทุกวันนี้ )
* * * พอเราเพลินพอใจใน รูป รส กลิ่น เสียง ที่อยู่ใน สังขตาธาตุ เราจึงมา "เกิด" เป็นตัวเป็นตนอยู่ใน สังขตาธาตุ นี้ คือมาเกิดเป็นตัวเป็นตนในโลกมนุษย์นี้
* * * เมื่อมีการ "เกิด" ก็ต้องมี การแก่ ,การเจ็บ และ การตาย ตามมา ก็เรียกได้ว่าเกิดความทุกข์ขึ้นแล้ว ( เกิดความทุกข์เพราะว่า เราต้องรับสภาพ การ แก่ ,เจ็บ และตาย )
* * * แต่เพราะเรายังมี อวิชชา ( แปลว่า ความไม่รู้ ) ว่าสิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยง ( ที่ว่าไม่เที่ยง ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง มัน แปรสภาพได้ คือ มี แก่ เจ็บ ตาย ได้ ) เราก็เลยเกิดการ ยึดติด ,ยึมมั่น คือ "ไม่ปล่อยวาง"
* * * เมื่อเรา ยึดติด ,ยึมมั่น คือ "ไม่ปล่อยวาง" แล้ว เราก็เลยต้องมาเกิดซ้ำอีก / แล้วพอเกิดซ้ำ ก็ต้องมี แก่ ,เจ็บ ตาย ตามมาอีก "วน" อย่างนี้ไปเรื่อยๆ นับภพนับชาติไม่ถ้วน ( "วน" ในที่นี้คือ เป็นวงจร เกิด แก่ เจ็บ ตาย ซ้ำไปเรื่อยๆ )
* * * ทั้งหมดนี้ คือคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมเราถึงเกิดมา นะครับ
หมายเหตุ - หากเราจะไม่ต้องการมาเกิดอีก เราจะต้องทำลาย อวิชชา เสียก่อน คือทำลาย ความไม่รู้ เสียก่อน ด้วยการรู้ อริยสัจ 4 หรือ ความจริง 4 ข้อ คือ ทุกข์ ,เหตุให้เกิดทุกข์ ,ความดับของทุกข์ ,วิธีที่จะทำให้เกิดความดับของทุกข์
เมื่อเรารู้ความจริง 4 ข้อนี้แล้ว เราก็จะทำลายา อวิชชา ได้แล้ว
เมื่อเราทำลาย อวิชชา ลงได้แล้ว เราก็จะ "ปล่อยวางทุกสิ่ง" แล้วเราก็จะกลับสู่สภาวะ อสังขตาธาตุ ได้อีกครั้ง / แล้วนั่นแหละ เราถึงจะไม่กลับมาเกิดอีก
2.ส่วนคำถามที่สองคือ ทำไมบางคนเกิดมา สูง ต่ำ ดำ ขาว ไม่เหมือนกัน บางคนพิการ บางคนเป็นโรคร้าย บางคนไม่เป็น
คำตอบก็คือ เพราะว่า ในระหว่างที่เรา "เกิดซ้ำ" หลายภพหลายชาติอยู่นั้น แต่ละบุคคล ก็ทำกรรมมาไม่เหมือนกัน ( กรรม แปลว่า การกระทำ ) ยกตัวอย่างเช่น ในชาติก่อน พอเราเห็นสิ่งของๆคนอื่น ก็เกิดความอยากได้ ก็ไปลักขโมยเขา ดังนั้น พอเกิดมาในชาตินี้ จึงยากจน / บางคน ในชาติก่อน มีกำลังมาก ก็ใช้กำลังของตัวเอง ในการเบียดเบียนคนอื่น ทำให้เขาบาดเจ็บ ทำให้เขาตาย ดังนั้น พอเกิดมาในชาตินี้ จึงป่วย ,จึงอายุสั้น / บางคน ในชาติก่อน มีความโกรธเป็นนิสัย พอมาเกิดในชาตินี้ จึงมีความ ไม่สวย ไม่หล่อ หน้าตาไม่น่าดู เป็นต้น
ตำตอบทั้งสองข้อนี้ ตอบโดยพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็น สัพพัญญู ( แปลว่า มีความรู้ในทุกเรื่อง )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สำหรับบทความนี้ ผมขอจบไว้แค่นี้่ก่อน และขอบอกว่า คุณผู้อ่่านที่เป็นคน "ขี้สงสัย" นั้น ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะในเมื่อ พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า คำพูดของท่านเป็น อกาลิโก คือเป็นความจริงแท้แน่นอน ตลอดกาล ไม่มีใครคัดง้างได้ / จะ "น่าสนุกขนาดไหน" ที่เหมือนกับมีการ "ท้าทาย" คุณผู้อ่าน ให้ลองหาวิธีคัดง้างคำพูดของท่านสิ ว่า มันมีข้อผิดพลาดตรงไหน?
ในชณะที่ ถ้าเป็นคำสอนของศาสนาอื่น ( เท่าที่ผมศึกษามาเป็นสิบๆปี ) แค่ท่านไม่เชื่อคำสอนของศาสดา ท่านก็ผิดแล้ว แต่สำหรับศาสนาพุทธ มีการ "ท้าทาย" ท่านเลยว่า ลองค้ดง้าง คำของพระศาสดา ดูสิ ว่า ทำจะคัดง้างได้ไหม? มันน่าสนุกดีไหมครับ มันเป็นเรื่องท้าทายดี และไม่ได้ถือว่าเป็นบาปด้วย คุณมีสิทธิ์สงสัยได้เต็มที่เลย แล้วลองหาคำตอบ หรือลองพิสูจน์ดูว่าคำพูดของ พระพทุทธเจ้า นั้น จริงหรือไม่จริง
มันเป็นเรื่องน่าคิดนะครับว่า ในอนาคต อีก ล้านๆปี โลกจะเป็นอย่างไร? ซี่ง พระพุทธเจ้า ให้คำตอบไว้แล้วครับ ดีกว่าไปฟังใครก็ไม่รู้ ที่บอกว่า โลกจะแตก ปีนั้น ปีนี้ มันเลื่อนลอยครับ มาพังคนที่เป็น สัพพัญญู ( หมายถึง พระพุทธเจ้า ) ตอบไว้ดีกว่าครับ
คุณจะได้รู้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น กำเนิดโลก กำเนิดจักรวาล มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม? หรือบางเรื่องแปลกๆที่ท่านไม่เคยรู้ก็มี เช่น อาชีพ เพียง 2 อาชีพในโลกนี้ ที่ตกนรกเลย โดยไม่ต้องทำบาปอย่างอื่นเพิ่มเติม ก็คือ อาชีพนักเต้น และนักแสดง น่าสนใจดีไหมครับ? คือ ถ้าคุณประกอบสองอาชีพนี้อยู่ คุณก็ต้องเข้าไปศึกษา เพื่อจะได้ระวังตัว ไม่ใช่ "ปิดหูปิดดตา" เพราะคิดว่าฟังแล้วไม่สบายใจ เลยไม่อยากรับรู้ อันนั้น ถือว่าคุณมีความประมาทแล้วนะครับ / กันไว้ก่อนดีกว่า ด้วยการเข้าไปศึกษาคำพูดที่ว่า อาชีพ นักเต้น และนักแสดง ต้องตกนรก มันเป็นอย่างไร?
แต่ผมขอเน้นอีกทีนะครับว่า คำสอนที่คุณจะศึกษา จะต้องเป็น พุทธวจน เท่านั้น คือเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าล้วนๆ ไม่ใช่การแต่งใหม่เสริมเข้าไปในพระไตรปิฏกนะครับ? คือหมายความว่า คุณก็ศึกษาในพระไตรปิฏกนั่นแหละ เพียงแต่ว่า ให้ศึกษาเฉพาะในส่วนที่ไม่ได้ถูกแต่งขึ้นมาใหม่
แล้วท่านจะไปหาฟัง พุทธวจน ได้จากที่ไหน? ขอแนะนำว่า ให้ไปที่ลิงก์ของวัดนาป่าพง เลยครับ http://watnapp.com/
หวังว่า การเขียนบทความในครั้งแรกของผมนี้ คงจะทำให้คุณผู้อ่านได้ประโยชน์ได้ความรู้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ คอยติดตามผลงานบทความของผมอีกในอนาคตนะครับ สำหรับวันนี้ .. ขอบคุณที่สละเวลามาอ่านครับผม