Sunday, January 9, 2022

เทสนาคามินี

 

เทสนาคามินี 



       เทสนาคามินี ( อ่านว่า เท-สะ-นา-คา-มิ-นี ) - แยกศัพท์เป็น เทสนา + คามินี

( 1 ) “เทสนา”

       อ่านว่า เท-สะ-นา รากศัพท์มาจาก ทิสฺ ( ธาตุ = แสดง, ชี้แจง ) + ยุ ปัจจัย, แปลง ยุ เป็น อน ( อะ-นะ ) , แผลง อิ ที่ ทิ-( สฺ ) เป็น เอ ( ทิสฺ > เทส ) + อา ปัจจัยเครื่องหมายอิตถีลิงค์ 

       : ทิสฺ + ยุ > อน = ทิสน > เทสน + อา = เทสนา แปลตามศัพท์ว่า “วาจาเป็นเครื่องแสดงเนื้อความ” 


       “เทสนา” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ –

       ( 1 ) การเทศน์ , การสั่งสอน , บทเรียน ( discourse , instruction , lesson ) 

       ( 2 ) ควบกับ ธมฺม + เทสนา = ธมฺมเทสนา หมายถึง การสั่งสอนธรรม , การแสดงธรรม , การเทศน์ , คำเทศน์หรือสั่งสอน ( moral instruction , exposition of the Dhamma , preaching , sermon )

       ( 3 ) การยอมรับ ( โดยชอบด้วยกฎหมาย ) ( [legal] acknowledgment ) 



       ( 2 ) “คามินี”

       รูปคำเดิมเป็น “คามี” ( คา-มี ) รากศัพท์มาจาก คมฺ ( ธาตุ = ไป, ถึง ) + ณี ปัจจัย , ลบ ณ ( ณี > อี ) , ทีฆะต้นธาตุ “ด้วยอำนาจปัจจัยเนื่องด้วย ณ” ( คมฺ > คาม ) 

       : คมฺ + ณี = คมณี > คมี > คามี แปลตามศัพท์ว่า “ผู้ดำเนินไป” “ผู้ยังให้ถึง”


       “คามี” มีความหมายว่า – 

       ( 1 ) ไป , เดินไป ( going , walking ) 

       ( 2 ) นำไปสู่ , ไปยัง ( leading to , making for ) 

       “คามี” เป็นปุงลิงค์ ในที่นี้ใช้เป็นวิเสสนะ ( คำขยาย ) ของ “อาปตฺติ” ( อา-ปัด-ติ = อาบัติ ) ซึ่งเป็นอิตถีลิงค์ จึงต้องแปลงรูป “คามี” ให้เป็นอิตถีลิงค์โดยวิธี + อินี ปัจจัย

       : คามี + อินี = คามินี แปลตามศัพท์ว่า “( อาบัติ ) อันยังให้ถึง-” 


       “คามี” หรือ “คามินี” ไม่นิยมใช้เดี่ยว แต่มักต่อท้ายคำอื่น ต่อท้ายคำอะไร ก็มีความหมายว่าดำเนินไปถึงสิ่งนั้น หรือนำไปให้ถึงสิ่งนั้น 


       คำที่เราน่าจะคุ้นกันดีก็อย่างเช่น “ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา” แปลว่า “ทางดำเนินไปสู่ความดับแห่งทุกข์” ( the Path that leads to the Cessation ( or , the Extinction ) of Suffering ) 


       เทสนา + คามินี = เทสนาคามินี แปลตามศัพท์ว่า “( อาบัติ ) อันยังให้ถึงการแสดง” 


       พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ขยายความไว้ดังนี้ –

       “เทสนาคามินี : อาบัติที่ภิกษุต้องเข้าแล้วจะพ้นได้ด้วยวิธีแสดง , อาบัติที่แสดงแล้วก็พ้นได้ , อาบัติที่ปลงตกด้วยการแสดงที่เรียกว่า แสดงอาบัติ หรือ ปลงอาบัติ ได้แก่ อาบัติถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต ; ตรงข้ามกับ อเทสนาคามินี ซึ่งเป็นอาบัติที่ไม่อาจพ้นได้ด้วยการแสดง ได้แก่ ปาราชิก และสังฆาทิเสส”


อภิปราย :

       กิจวัตรข้อหนึ่งของภิกษุ คือ การสำรวจความประพฤติของตัวเองในแต่ละวันว่าปฏิบัติพระธรรมวินัยบกพร่องอย่างไรบ้างหรือไม่ ถ้าเห็นข้อบกพร่องผิดพลาดก็ให้เปิดเผยความผิดพลาดนั้นให้เพื่อนภิกษุด้วยกันรับรู้พร้อมทั้งรับปากว่าจะไม่กระทำสิ่งที่ผิดพลาดนั้นอีก เรียกว่า “แสดงอาบัติ” หรือ “ปลงอาบัติ”

       อาบัติที่ต้องแสดงคือเปิดเผยให้เพื่อนภิกษุด้วยกันรับรู้จึงจะพ้นโทษผิดได้นี่แหละเรียกว่า “เทสนาคามินี” 


แถม : คำแสดงอาบัติ

       ภิกษุผู้จะแสดงอาบัติครองจีวรเฉวียงบ่า ( ห่มลดไหล่ ) โดยปกติภิกษุที่มีพรรษาอ่อนกว่าเป็นฝ่ายเข้าไปภิกษุที่มีพรรษาแก่กว่า นั่งคุกเข่า ( ตามคัมภีร์ว่านั่งกระโหย่ง ) ประนมมือ กล่าวเป็นภาษาบาลี ( ในที่นี้บอกคำแปลไว้ให้ด้วยเพื่อให้รู้ความหมาย ) – 

       ภิกษุที่มีพรรษาอ่อนกว่าแสดงก่อน :

       พรรษาอ่อนว่า: สัพพา ตา อาปัตติโย อาโรเจมิ. ( 3 หน ) 

( ขอแจ้งให้ทราบว่ากระผมต้องอาบัติทั้งหมดหลายตัว ) 



       สัพพา คะรุละหุกา อาปัตติโย อาโรเจมิ. ( 3 หน ) 

       ( ขอแจ้งให้ทราบว่าอาบัติทั้งหมดเป็นอาบัติหนักบ้างเบาบ้าง ) 



       อะหัง ภันเต สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย อาปัตติโย อาปัชชิง ตา ตุม๎หะมูเล ปะฏิเทเสมิ 

       ( กระผมต้องอาบัติหลายตัว ต่างกรณีกัน ขอแสดงอาบัตินั้นกับท่าน ) 



       พรรษาแก่ว่า: ปัสสะสิ อาวุโส ตา อาปัตติโย 

       ( คุณยอมรับว่าต้องอาบัตินั้นหรือ? ) 



       พรรษาอ่อนว่า: อุกาสะ อามะ ภันเต ปัสสามิ 

       ( ถูกแล้วขอรับ กระผมยอมรับ ) 



       พรรษาแก่ว่า: อายะติง อาวุโส สังวะเรยยาสิ 

       ( ต่อไปคุณควรจะสำรวมระวัง ) 



       พรรษาอ่อนว่า: สาธุ สุฏฐุ ภันเต สังวะริสสามิ 

       ( สาธุ กระผมจะสำรวมระวังให้ดีที่สุดขอรับ ) 



       ทุติยัมปิ สาธุ สุฏฐุ ภันเต สังวะริสสามิ 

       ( สาธุ ขอรับปากเป็นวาระที่สอง กระผมจะสำรวมระวังให้ดีที่สุดขอรับ ) 



       ตะติยัมปิ สาธุ สุฏฐุ ภันเต สังวะริสสามิ 

       ( สาธุ ขอรับปากเป็นวาระที่สาม กระผมจะสำรวมระวังให้ดีที่สุดขอรับ ) 



       นะ ปุเนวัง กะริสสามิ  ( พรรษาแก่รับว่า สาธุ ) 

       ( กระผมจะไม่ทำเรื่องที่ต้องอาบัติเช่นนั้นอีก ) 



       นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ  ( พรรษาแก่รับว่า สาธุ ) 

       ( กระผมจะไม่พูดเรื่องที่ทำให้ต้องอาบัติเช่นนั้นอีก )  



       นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ  ( พรรษาแก่รับว่า สาธุ ) 

       ( กระผมจะไม่คิดเรื่องที่ทำให้ต้องอาบัติเช่นนั้นอีก ) 



       ภิกษุที่มีพรรษาแก่กว่าแสดง :

       พรรษาแก่ว่า: สัพพา ตา อาปัตติโย อาโรเจมิ  ( 3 หน ) 

       ( ขอแจ้งให้ทราบว่าผมต้องอาบัติทั้งหมดหลายตัว ) 



       สัพพา คะรุละหุกา อาปัตติโย อาโรเจมิ  ( 3 หน ) 

       ( ขอแจ้งให้ทราบว่าอาบัติทั้งหมดเป็นอาบัติหนักบ้างเบาบ้าง ) 



       อะหัง อาวุโส สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย อาปัตติโย

       อาปัชชิง ตา ตุย๎หะมูเล ปะฏิเทเสมิ 

       ( ผมต้องอาบัติหลายตัว ต่างกรณีกัน ขอแสดงอาบัตินั้นกับคุณ ) 



       พรรษาอ่อนว่า: อุกาสะ ปัสสะถะ ภันเต ตา อาปัตติโย 

       ( ขอประทานโทษ ท่านยอมรับว่าต้องอาบัตินั้นหรือขอรับ? ) 



       พรรษาแก่ว่า: อามะ อาวุโส ปัสสามิ 

       ( ถูกแล้ว ผมยอมรับ ) 



       พรรษาอ่อนว่า: อายะติง ภันเต สังวะเรยยาถะ 

       ( ต่อไปท่านควรจะสำรวมระวังขอรับ ) 



       พรรษาแก่ว่า: สาธุ สุฏฐุ อาวุโส สังวะริสสามิ 

       ( สาธุ ผมจะสำรวมระวังให้ดีที่สุด )  



       ทุติยัมปิ สาธุ สุฏฐุ อาวุโส สังวะริสสามิ 

       ( สาธุ ขอรับปากเป็นวาระที่สอง ผมจะสำรวมระวังให้ดีที่สุด ) 



       ตะติยัมปิ สาธุ สุฏฐุ อาวุโส สังวะริสสามิ 

       ( สาธุ ขอรับปากเป็นวาระที่สาม ผมจะสำรวมระวังให้ดีที่สุด )  



       นะ ปุเนวัง กะริสสามิ  ( พรรษาอ่อนรับว่า สาธุ ) 

       ( ผมจะไม่ทำเรื่องที่ต้องอาบัติเช่นนั้นอีก ) 



       นะ ปุเนวัง ภาสิสสามิ  ( พรรษาอ่อนรับว่า สาธุ ) 

       ( ผมจะไม่พูดเรื่องที่ทำให้ต้องอาบัติเช่นนั้นอีก ) 



       นะ ปุเนวัง จินตะยิสสามิ  ( พรรษาอ่อนรับว่า สาธุ ) 

       ( ผมจะไม่คิดเรื่องที่ทำให้ต้องอาบัติเช่นนั้นอีก ) 


- จบ -