Monday, September 12, 2022

ปาติโมกขฐปนะขันธกะ : การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมและเป็นธรรม

 




การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมและเป็นธรรม


( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 468 )  


       ดูกรภิกษุทั้งหลาย 

       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 1 เป็นธรรม มีมูล 1 

       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 2 เป็นธรรม มีมูล 2 

       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 3 เป็นธรรม มีมูล 3 

       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 4 เป็นธรรม มีมูล 4 

       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 5 เป็นธรรม มีมูล 5 

       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 6 เป็นธรรม มีมูล 6 

       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 7 เป็นธรรม มีมูล 7 

       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 8 เป็นธรรม มีมูล 8 

       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 9 เป็นธรรม มีมูล 9 

       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 10 เป็นธรรม มีมูล 10  



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 469 )  


       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 1 เป็นไฉน

       ภิกษุงดเว้นปาติโมกข์ เพราะ ศีลวิบัติ ///// อันไม่มีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 1 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 470 )  

       การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 1 เป็นไฉน 

       ภิกษุงดปาติโมกข์เพราะศีลวิบัติมีมูล


       นี้การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 1 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 471 )  


       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 2 เป็นไฉน 

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล 

       2. เพราะ อาจารวิบัติ /////  ไม่มีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 2 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 472 )  


       การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 2 เป็นไฉน 

       ภิกษุงดปาติโมกข์

       1. เพราะศีลวิบัติมีมูล 

       2. เพราะอาจารวิบัติมีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 2 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 473 )  


       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 3 เป็นไฉน 

       ภิกษุงดปาติโมกข์

       1. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล 

       2. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล 

       3. เพราะ ทิฐิวิบัติ /////  ไม่มีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 3 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 474 )  


       การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 3 เป็นไฉน 

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะศีลวิบัติมีมูล  

       2. เพราะอาจารวิบัติมีมูล 

       3. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 3 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 475 )  


       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 4 เป็นไฉน  

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล  

       2. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล 

       3. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล  

       4. เพราะ อาชีววิบัติ /////  ไม่มีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 4 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 476 )  


       การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 4 เป็นไฉน  

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะศีลวิบัติมีมูล  

       2. เพราะอาจารวิบัติมีมูล  

       3. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล  

       4. เพราะอาชีววิบัติมีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล 4 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 477 )  


       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 5 เป็นไฉน  

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะ ปาราชิก /////  ไม่มีมูล  

       2. เพราะ สังฆาทิเสส /////  ไม่มีมูล 

       3. เพราะ ปาจิตตีย์ /////  ไม่มีมูล  

       4. เพราะ ปาฏิเทสนียะ /////  ไม่มีมูล 

       5. เพราะ ทุกกฏ /////  ไม่มีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 5 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 478 )  


       การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 5 เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะปาราชิกมีมูล 

       2. เพราะสังฆาทิเสสมีมูล 

       3. เพราะปาจิตตีย์มีมูล  

       4. เพราะปาฏิเทสนียะมีมูล 

       5. เพราะทุกกฏมีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์ มีมูล 5 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 479 )  


       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 6 เป็นไฉน  

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       2. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ 

       3. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       4. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ 

       5. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ  

       6. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ 


       นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 6 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 480 )  


       การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 6 เป็นไฉน  

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       2. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ  

       3. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       4. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ 

       5. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ  

       6. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ 


       นี้การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 6 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 481 )  


       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 7 เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะปาราชิกไม่มีมูล

       2. เพราะสังฆาทิเสสไม่มีมูล 

       3. เพราะถุลลัจจัยไม่มีมูล 

       4. เพราะปาจิตตีย์ไม่มีมูล 

       5. เพราะปาฏิเทสนียะไม่มีมูล 

       6. เพราะทุกกฏไม่มีมูล 

       7. เพราะ ทุพภาสิต ///// ไม่มีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 7 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 482 )  


       การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 7 เป็นไฉน  

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะปาราชิกมีมูล 

       2. เพราะสังฆาทิเสสมีมูล 

       3. เพราะถุลลัจจัยมีมูล 

       4. เพราะปาจิตตีย์มีมูล 

       5. เพราะปาฏิเทสนียะมีมูล 

       6. เพราะทุกกฏมีมูล 

       7. เพราะทุพภาสิตมีมูล 


       นี้การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 7 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 483 )  


       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 8 เป็นไฉน 

       ภิกษุ งดปาติโมกข์ 

       1. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       2. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ 

       3. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       4. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ 

       5. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       6. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ 

       7. เพราะอาชีววิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       8. เพราะอาชีววิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ 


       นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 8 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 484 )  


       การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 8 เป็นไฉน  

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       2. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ 

       3. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       4. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ 

       5. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       6. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ 

       7. เพราะอาชีววิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ

       8. เพราะอาชีววิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ 


       นี้การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 8 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 485 )  


       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 9 เป็นไฉน  

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       2. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ 

       3. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ 

       4. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       5. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ 

       6. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ 

       7. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       8. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ที่ภิกษุทำ 

       9. เพราะทิฐิวิบัติไม่มีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ 


       นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 9 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 486 )  


       การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 9 เป็นไฉน 

       ภิกษุงดปาติโมกข์ 

       1. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       2. เพราะศีลวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ 

       3. เพราะศีลวิบัติมีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ 

       4. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       5. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ 

       6. เพราะอาจารวิบัติมีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ 

       7. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุมิได้ทำ 

       8. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ที่ภิกษุทำ 

       9. เพราะทิฐิวิบัติมีมูล ทั้งที่ภิกษุทำและมิได้ทำ 


       นี้การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 9 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 487 )  


       การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 10 เป็นไฉน 

       1. ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก ไม่ได้นั่งอยู่ในบริษัทนั้น 

       2กถาปรารภ /////  ผู้ต้องอาบัติปาราชิกมิได้ค้างอยู่ 

       3. ภิกษุผู้บอกลาสิกขาไม่ได้นั่งอยู่ในบริษัทนั้น 

       4. กถาปรารภภิกษุผู้บอกลาสิกขามิได้ค้างอยู่ 

       5. ภิกษุร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม 

       6. ไม่ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม 

       7. กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรมมิได้ค้างอยู่ 

       8. ไม่มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยศีลวิบัติ 

       9. ไม่มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยอาจารวิบัติ 

       10. ไม่มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ 


       นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล 10 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 488 )  


       การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล 10 เป็นไฉน 

       1. ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั่งอยู่ในบริษัทนั้น 

       2. กถาปรารภภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกค้างอยู่ 

       3. ภิกษุผู้บอกลาสิกขานั่งอยู่ในบริษัทนั้น 

       4. กถาปรารภภิกษุผู้บอกลาสิกขาค้างอยู่ 

       5. ภิกษุไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม 

       6. ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม 

       7. กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรมค้างอยู่ 

       8. มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยศีลวิบัติ 

       9. มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยอาจารวิบัติ 

       10. มีภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ 


       นี้การงดปาติโมกข์ มีมูล 10 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 489 )  


       อย่างไร ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก ชื่อว่านั่งอยู่ในบริษัทนั้น 

       ดูกรภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ การต้องอาบัติปาราชิกย่อมมีด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด 

       ภิกษุเห็นภิกษุต้องอาบัติปาราชิกด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น 

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกเลย แต่ภิกษุอื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก 

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก 

       แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมต้องอาบัติปาราชิก 


       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้งถึงวันอุโบสถ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ  เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก

       ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ 

       เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้า สงฆ์ไม่พึงสวดปาติโมกข์ 

       ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 490 )  


       เมื่องดปาติโมกข์แก่ภิกษุแล้ว บริษัทเลิกประชุมเพราะอันตราย 10 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ 

       1. อันตรายแต่พระราชา  

       2. อันตรายแต่โจร 

       3. อันตรายแต่ไฟ 

       4. อันตรายแต่น้ำ 

       5. อันตรายแต่มนุษย์  

       6. อันตรายแต่อมนุษย์ 

       7. อันตรายแต่สัตว์ร้าย  

       8. อันตรายแต่สัตว์เลื้อยคลาน 

       9. อันตรายต่อชีวิต  

       10. อันตรายต่อพรหมจรรย์ 


       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ในอาวาสนั้น หรือในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า 

       กถาปรารภอาบัติปาราชิกของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย  

       ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงวินิจฉัยเรื่องนั้น 

       ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี 

       ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้า สงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า 

       กถาปรารภอาบัติปาราชิกของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย 

       ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ 

       เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ 

       ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 491 )  


       อย่างไร ภิกษุผู้บอกลาสิกขา ชื่อว่านั่งอยู่ในบริษัทนั้น 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บอกลาสิกขาด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด

       ภิกษุเห็นภิกษุบอกลาสิกขาด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น  

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้บอกลาสิกขาเลย แต่ภิกษุบอกแก่ภิกษุว่า 

       ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้บอกลาสิกขา ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้บอกลาสิกขาเลย 

       แม้ภิกษุอื่นก็ไม่เคยบอกแก่ภิกษุว่า  ท่าน ภิกษุรูปนี้บอกลาสิกขา

       แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมบอกลาสิกขาแล้ว 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า 

       บุคคลมีชื่อนี้ บอกลาสิกขาแล้ว 

       ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ 

       เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์  

       ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 492 )  


       เมื่องดปาติโมกข์แก่ภิกษุแล้ว บริษัทเลิกประชุมเพราะอันตราย 10 อย่างใด อย่างหนึ่ง คือ อันตรายแต่พระราชา … อันตรายต่อพรหมจรรย์ 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ใน อาวาสนั้น หรือในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  

       กถาปรารภการบอกลาสิกขา ของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังไม่ได้วินิจฉัย  

       ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงวินิจฉัยเรื่องนั้น  

       ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี  

       ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า 

       กถาปรารภการบอกลาสิกขาของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย 

       ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ 

       เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ 

       ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 493 )  


       อย่างไร ภิกษุชื่อว่าไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในธรรมวินัยนี้การไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ย่อมมีด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด  

       ภิกษุเห็นภิกษุไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ด้วยอาการ ด้วยเพศด้วยนิมิตเหล่านั้น  

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แต่ภิกษุอื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม  

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม แต่ภิกษุนั่นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  

       บุคคลมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม 

       ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ 

       เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ 

       ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม  



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 494 )  


       อย่างไร ภิกษุชื่อว่าค้านสามัคคีที่เป็นธรรม 

       ดูกรภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ การค้านสามัคคีที่เป็นธรรมย่อมมีด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วย นิมิตเหล่าใด  

       ภิกษุเห็นภิกษุผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น  

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แต่ภิกษุอื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม 

       ภิกษุมิได้เห็นภิกษุผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมค้านสามัคคีที่เป็นธรรม 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  

       บุคคลมีชื่อนี้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม 

       ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ  

       เมื่อเธอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ 

       ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 495 )  


       เมื่องดปาติโมกข์แล้ว บริษัทเลิกประชุม เพราะอันตราย 10 อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อันตรายแต่พระราชา … อันตรายต่อพรหมจรรย์

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ในอาวาสนั้น หรือในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  

       กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรมของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย  

       ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงวินิจฉัยเรื่องนั้น  

       ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี 

       ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  

       กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังไม่ได้วินิจฉัย 

       ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ 

       เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์  

       ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 496 )  


       อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยศีลวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด 

       ภิกษุเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น 

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยศีลวิบัติเลย แต่ภิกษุอื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยศีลวิบัติ  

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และ รังเกียจด้วยศีลวิบัติเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ แต่ภิกษุนั่นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมมีผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้งถึงวันอุโบสถ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจ นั้นว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  

       บุคคลมีชื่อนี้มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยศีลวิบัติ 

       ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ  

       เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์  

       ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม 



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 497 )  


       อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติ 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยอาจารวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด  

       ภิกษุเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น  

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยอาจารวิบัติ แต่ภิกษุอื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติ

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษมีชื่อนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติ แต่ภิกษุนั้นแหละ บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมมีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยอาจารวิบัติ 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ด้วยได้เห็น ได้ยินและรังเกียจ ว่า

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า 

       บุคคลมีชื่อนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยอาจารวิบัติ 

       ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ 

       เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์  

       ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม  



( เนื้อหาข้างล่างนี้ มีเลขอ้างอิง ( บรรพ ) ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เป็นเลขที่ : 498 )  


       อย่างไร ภิกษุชื่อว่า มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยทิฐิวิบัติ 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด  

       ภิกษุเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ ด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น  

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยทิฐิวิบัติ แต่ภิกษุอื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วยทิฐิวิบัติ  

       ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุที่มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติเลย แม้ภิกษุอื่น ก็ไม่ได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุนี้มีชื่อมีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมมีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ 

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า 

       ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  

       บุคคลมีชื่อนี้ มีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจด้วยทิฐิวิบัติ  

       ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ  

       เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์  

       ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม 



       การงดปาติโมกข์เป็นธรรม 10 ประการ นี้แล   



* * * ( ข้างบนนี้-ทั้งหมด ) นำมาจากพระไตรปิฎก  /  หัวข้อใหญ่สุด : อาจารโคจรสมฺปนฺนา  /  หัวข้อย่อยรองลงมา : คัมภีร์ จุลวรรค ภาค 2 ( วินัยปิฎก เล่มที่ 7 )  /  หัวข้อย่อยรองลงมา : ขันธ์ที่ 5 : ปาติโมกขฐปนะขันธกะ  /  หัวข้อย่อยรองลงมา : ปาติโมกขฐปนะขันธกะ : การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมและเป็นธรรม  



* * * อีกช่องทางหนึ่ง คือ สามารถอ่านได้ใน หนังสือ พุทธวจน เรื่อง อริยวินัย  /  หน้าที่ : 941 , 942 , 943 , 944 , 945 , 946 , 947 , 948 , 949 , 950 , 951 , 952



- จบ -