Friday, March 26, 2021

ความทุกข์ในนรก

 

พุทธวจน - คําสอนจากพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้า

เรื่อง ความทุกข์ในนรก

      ภิกษุทั้งหลาย!  เปรียบเหมือนเรือน 2 หลังมีประตูตรงกัน บุรุษผู้มีตาดียืนอยู่ระหว่างกลางเรือน 2 หลังนั้น พึงเห็นมนุษย์กำลังเข้าเรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังเดินมาบ้าง กำลังเดินไปบ้าง ฉันใด

       ภิกษุทั้งหลาย!  ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราย่อมมองเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมทราบชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมได้ว่าสัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ก็มี

       สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะ เป็นสัมมาทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ เมื่อตายไปแล้ว บังเกิดในหมู่มนุษย์ก็มี

       สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงเปรตวิสัยก็มี

       สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงกำเนิดเดรัจฉานก็มี

       สัตว์ผู้กำลังเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เชื่อมั่นกรรมด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตายไปแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกก็มี

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านายนิรยบาลจะจับสัตว์นั้นที่ส่วนต่างๆ ของแขนไปแสดงแก่พระยายมว่า “ข้าแต่พระองค์! บุรุษนี้ไม่ปฏิบัติชอบในมารดา ไม่ปฏิบัติชอบในสมณะ ไม่ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล ขอพระองค์จงลงอาชญาแก่บุรุษนี้เถิด”

       ภิกษุทั้งหลาย!  พระยายมจะปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึงเทวทูตที่ 1 กะสัตว์นั้นว่า “พ่อมหาจำเริญ!  ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ 1 ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ?” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า!”  พระยายมถามอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำ เริญ! ท่านไม่ได้เห็นเด็กแดงๆ ยังอ่อน นอนหงาย เปื้อนมูตรคูถของตน อยู่ในหมู่มนุษย์หรือ ?” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “เห็น เจ้าข้า!”  พระยายมถามอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำ เริญ! ท่านนั้นเมื่อรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความคิดดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า ! มัวประมาทเสียเจ้าข้า!”  พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำ ให้ท่าน ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำ ให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้”

       ภิกษุทั้งหลาย!  พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอก เอาใจไต่ถามถึงเทวทูตที่ 1 กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามเทวทูตที่ 2 ว่า “พ่อมหาจำเริญ!  ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ 2 ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ?” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นเลยเจ้าข้า!” พระยายมถามอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย มีอายุ 80 ปี 90 ปี หรือ 100 ปีนับแต่เกิดมา เป็นผู้ชรา ซี่โครงคด หลังงอ ถือไม้เท้า งกเงิ่นเดินไป กระสับกระส่าย ล่วงวัยหนุ่มสาว ฟันหักผมหงอก หนังเหี่ยวย่น ศีรษะล้าน ผิวตกกระในหมู่มนุษย์หรือ ?” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “เห็น เจ้าข้า!”  พระยายมถามอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านนั้นรู้ความมีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า! มัวประมาทเสีย เจ้าข้า!” พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านไม่ได้ทำดีทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้” 

       ภิกษุทั้งหลาย!  พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอก เอาใจไต่ถามถึงเทวทูตที่ 2 กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึงเทวทูตที่ 3 ว่า “พ่อมหาจำเริญ!  ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ 3 ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ?” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า!” พระยายมถามอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชาย ผู้ป่วย ทนทุกข์ เป็นไข้หนัก นอนเปื้อนมูตรคูถของตน มีคนอื่นคอยพยุงลุกพยุงเดินในหมู่มนุษย์หรือ ?”  สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “เห็น เจ้าข้า!” พระยายมถามอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านนั้นเมื่อรู้ความมีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความคิดดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้ ควรที่เราจะทำความดี ทางกาย ทางวาจา และทางใจ” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า! มัวประมาทเสีย เจ้าข้า!” พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำ ให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำ เข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้”

       ภิกษุทั้งหลาย!  พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอก เอาใจไต่ถามถึงเทวทูตที่ 3 กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึงเทวทูตที่ 4 ว่า “พ่อมหาจำเริญ!  ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ 4 ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ?” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า!” พระยายมถามอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านไม่ได้เห็นพระราชาทั้งหลาย ในหมู่มนุษย์จับโจรผู้ประพฤติผิดมาแล้ว สั่งลงกรรมกรณ์ต่างชนิดบ้างหรือ คือ

       ( 1 ) โบยด้วยแส้บ้าง … * * * ( 1 )

       สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “เห็น เจ้าข้า!” พระยายมถามอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านนั้นเมื่อรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความคิดดังนี้บ้างไหมว่า จำเริญละ เป็นอันว่าสัตว์ที่ทำกรรมอันเป็นบาปไว้นั้น ย่อมถูกลงกรรมกรณ์ต่างชนิดเห็นปานนี้ในปัจจุบัน จะป่วยกล่าวไปไยถึงชาติหน้า ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า ! มัวประมาทเสีย เจ้าข้า!” พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ!  ท่านไม่ได้ทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้นจักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้”

       ภิกษุทั้งหลาย!  พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอก เอาใจไต่ถามถึงเทวทูตที่ 4 กะสัตว์นั้นแล้ว จึงปลอบโยน เอาอกเอาใจ ไต่ถามถึงเทวทูตที่ 5 ว่า “พ่อมหาจำเริญ!  ท่านไม่ได้เห็นเทวทูตที่ 5 ปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ ?” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นเลย เจ้าข้า!”
พระยายมถามอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชายที่ตายแล้ววันหนึ่งหรือสองวัน หรือสามวัน ขึ้นพอง เขียวช้ำ มีน้ำเหลืองเยิ้มในหมู่มนุษย์หรือ?” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “เห็น เจ้าข้า!” พระยายมถามอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! ท่านนั้นเมื่อรู้ความ มีสติ เป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้มีความคิดดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความตายเป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ” สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า ! มัวประมาทเสีย เจ้าข้า!”  พระยายมกล่าวอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ!
 ท่านไม่ได้ทำ ความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจไว้ เพราะมัวประมาทเสีย ดังนั้น เหล่านายนิรยบาลจักลงโทษโดยอาการที่ท่านประมาทแล้ว ก็บาปกรรมนี้นั่นแล ไม่ใช่มารดาทำให้ท่าน ไม่ใช่บิดาทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องชายทำให้ท่าน ไม่ใช่พี่น้องหญิงทำให้ท่าน ไม่ใช่มิตรอำมาตย์ทำให้ท่าน ไม่ใช่ญาติสาโลหิตทำให้ท่าน ไม่ใช่สมณะและพราหมณ์ทำให้ท่าน ไม่ใช่เทวดาทำให้ท่าน ตัวท่านเองทำเข้าไว้ ท่านเท่านั้น จักเสวยวิบากของบาปกรรมนี้”

       ภิกษุทั้งหลาย!  พระยายมครั้นปลอบโยน เอาอก เอาใจ ไต่ถามถึงเทวทูตที่ 5 กะสัตว์นั้นแล้ว ก็ทรงนิ่งอยู่

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านิรยบาลจะให้สัตว์นั้นกระทำ เหตุชื่อการจำ 5 ประการ คือ ตรึงตะปูเหล็กแดงที่มือข้างที่ 1 ข้างที่ 2 ที่เท้าข้างที่ 1 ข้างที่ 2 และที่ทรวงอกตรงกลาง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านิรยบาล จะจับสัตว์นั้นขึงพืดแล้วเอาผึ่งถาก สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด 

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านิรยบาล จะจับสัตว์นั้นเอาเท้าขึ้นข้างบน เอาหัวลงข้างล่างแล้วถากด้วยพร้า … 

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านิรยบาล จะเอาสัตว์นั้นเทียมรถแล้วให้วิ่งกลับไปกลับมาบนแผ่นดินที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง … 

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านิรยบาล จะให้สัตว์นั้นปีนขึ้นปีนลงซึ่งภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง … 

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านิรยบาล จะจับสัตว์นั้นเอาเท้าขึ้นข้างบนเอาหัวลงข้างล่าง แล้วพุ่งลงไปในหม้อทองแดงที่มีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง สัตว์นั้นจะเดือดพล่านเป็นฟองอยู่ในหม้อทองแดงนั้น เขาเมื่อเดือดเป็นฟองอยู่ จะพล่านขึ้นข้างบนครั้งหนึ่งบ้าง พล่านลงข้างล่างครั้งหนึ่งบ้าง พล่านไปด้านขวางครั้งหนึ่งบ้าง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในหม้อทองแดงนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรก ก็มหานรกนั้นแล มี 4 มุม 4 ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน มีกำแพงเหล็ก ล้อมรอบ ครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของมหานรกนั้นล้วนเต็มไปด้วยเหล็กลุกโพลง แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์รอบด้าน ตั้งอยู่ทุกเมื่อ

       ภิกษุทั้งหลาย! และมหานรกนั้น มีเปลวไฟพลุ่งจากฝาด้านหน้าจดฝาด้านหลัง พลุ่งจากฝาด้านหลังจดฝาด้านหน้า พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านใต้ พลุ่งจากฝาด้านใต้จดฝาด้านเหนือ พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน พลุ่งจากข้างบนจดข้างล่าง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้วจะกลับคืนรูปเดิม
ทันที และในขณะที่สัตว์นั้นใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้นและยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหลังของมหานรกเปิด … ประตูด้านเหนือเปิด … ประตูด้านใต้เปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้วจะกลับคืนรูปเดิมทันที และในขณะที่สัตว์นั้นใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั่นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในมหานรกนั้นและยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด 

       ภิกษุทั้งหลาย!  ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคืนรูปเดิมทันทีสัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้ แต่ว่ามหานรกนั้นแล มีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่ ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงในนรกคูถนั้น และในนรกคูถนั้นแล มีหมู่สัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือดเฉือนผิว แล้วเฉือดเฉือนหนัง แล้วเฉือดเฉือนเนื้อ แล้วเฉือดเฉือนเอ็น แล้วเฉือดเฉือนกระดูก แล้วกินเยื่อในกระดูก สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกคูถนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  และนรกคูถนั้น มีนรกเต็มด้วยเถ้ารึงใหญ่ ( ขี้เถ้าร้อน ) ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงไปในนรกเถ้ารึงนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ในนรกเถ้ารึงนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  และนรกเถ้ารึงนั้น มีป่างิ้วใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน ต้นสูงชลูดขึ้นไปโยชน์หนึ่ง มีหนามยาว 16 องคุลี มีไฟติดทั่วลุกโพลง โชติช่วง เหล่านายนิรยบาลจะบังคับให้สัตว์นั้นขึ้นๆ ลงๆ ที่ต้นงิ้วนั้น สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ที่ต้นงิ้วนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  และป่างิ้วนั้น มีป่าต้นไม้ใบเป็นดาบใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะเข้าไปในป่านั้น จะถูกใบไม้ที่ลมพัด ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดทั้งมือและเท้าบ้าง และตัดใบหูบ้าง ตัดจมูกบ้าง ตัดทั้งใบหูและจมูกบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ที่ป่าต้นไม้มีใบเป็นดาบนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  และป่าต้นไม้มีใบเป็นดาบนั้น มีแม่น้ำใหญ่ น้ำเป็นด่าง ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงไปในแม่น้ำนั้น จะลอยอยู่ในแม่น้ำนั้น ตามกระแสบ้าง ทวนกระแสบ้าง ทั้งตามและทวนกระแสบ้าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในแม่น้ำนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านายนิรยบาลพากันเอาเบ็ดเกี่ยวสัตว์นั้นขึ้นวางบนบก แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ! เจ้าต้องการอะไร” สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าหิว เจ้าข้า!” เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง เปิดปากออก แล้วใส่ก้อนโลหะร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง เข้าในปาก ก้อนโลหะนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ไหม้ปากบ้าง ไหม้คอบ้าง ไหม้ท้องบ้าง ของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านายนิรยบาลกล่าวกะสัตว์นั้นอย่างนี้ว่า “พ่อมหาจำเริญ!  เจ้าต้องการอะไร” สัตว์นั้นบอกอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าระหาย เจ้าข้า!” เหล่านายนิรยบาลจึงเอาขอเหล็กร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง เปิดปากออกแล้วเอาน้ำทองแดงร้อนมีไฟติดทั่ว ลุกโพลง โชติช่วง กรอกเข้าไปในปาก น้ำทองแดงนั้นจะไหม้ริมฝีปากบ้าง ไหม้ปากบ้าง ไหม้คอบ้าง ไหม้ท้องบ้าง ของสัตว์นั้น พาเอาไส้ใหญ่บ้าง ไส้น้อยบ้าง ออกมาทางส่วนเบื้องล่าง สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบอยู่ ณ ที่นั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด

       ภิกษุทั้งหลาย!  เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรกอีก

       ภิกษุทั้งหลาย!  เรื่องเคยมีมาแล้ว พระยายมได้มีความดำริอย่างนี้ว่า “พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย ! เป็นอันว่าเหล่าสัตว์ที่ทำ กรรมอันเป็นบาปไว้ในโลกย่อมถูกนายนิรยบาลลงกรรมกรณ์ต่างชนิด เห็นปานนี้ โอหนอ ! ขอเราพึงได้ความเป็นมนุษย์ ขอตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะพึงเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ขอเราพึงได้นั่งใกล้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นพึงทรงแสดงธรรมแก่เรา และขอเราพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด”

       ภิกษุทั้งหลาย!  ก็เรื่องนั้น เรามิได้ฟังต่อสมณะหรือพราหมณ์อื่นๆ แล้วจึงบอก ก็แลเราบอกเรื่องที่รู้เอง เห็นเอง ปรากฏเองทั้งนั้น 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

( คาถาผนวกท้ายพระสูตร ) 

       นรชนเหล่าใดยังเป็นมาณพ อันเทวทูตตักเตือนแล้วประมาทอยู่ นรชนเหล่านั้นจะเข้าถึงหมู่สัตว์อันเลว ถึงความเศร้าโศกสิ้นกาลนาน

       ส่วนนรชนเหล่าใด เป็นสัตบุรุษผู้สงบระงับในโลกนี้ อันเทวทูตตักเตือนแล้ว ย่อมไม่ประมาทในธรรมของพระอริยะในกาลไหนๆ เห็นภัยในความถือมั่นอันเป็นเหตุแห่งชาติและมรณะ แล้วไม่ถือมั่น หลุดพ้นในธรรมเป็นที่สิ้นชาติและมรณะได้ นรชนเหล่านั้นเป็นผู้ถึงความเกษม มีสุข ดับสนิทในปัจจุบัน ล่วงเวรและภัยทั้งปวง และเข้าไปล่วงทุกข์ทั้งปวงได้


- - - - - - - - - - - - - - - - - - -  

* * * ( 1 ) 

       ( 1 ) โบยด้วยแส้บ้าง

       ( 2 ) โบยด้วยหวายบ้าง

       ( 3 ) ตีด้วยตะบองสั้นบ้าง

       ( 4 ) ตัดมือบ้าง

       ( 5 ) ตัดเท้าบ้าง

       ( 6 ) ตัดทั้งมือทั้งเท้าบ้าง

       ( 7 ) ตัดหูบ้าง

       ( 8 ) ตัดจมูกบ้าง

       ( 9 ) ตัดทั้งหูทั้งจมูกบ้าง

       ( 10 ) ลงกรรมกรณ์วิธี หม้อเคี่ยวน้ําส้ม บ้าง

       ( 11 ) ลงกรรมกรณ์วิธี ขอดสังข์ บ้าง

       ( 12 ) ลงกรรมกรณ์วิธี ปากราหู บ้าง

       ( 13 ) ลงกรรมกรณ์วิธี มาลัยไฟ บ้าง

       ( 14 ) ลงกรรมกรณ์วิธี คบมือ บ้าง

       ( 15 ) ลงกรรมกรณ์วิธี ริ้วส่าย บ้าง

       ( 16 ) ลงกรรมกรณ์วิธี นุ่งเปลือกไม้ บ้าง

       ( 17 ) ลงกรรมกรณ์วิธี ยืนกวาง บ้าง

       ( 18 ) ลงกรรมกรณ์วิธี เกี่ยวเหยื่อเบ็ด บ้าง 

       ( 19 ) ลงกรรมกรณ์วิธี เหรียญกษาปณ์ บ้าง

       ( 20 ) ลงกรรมกรณ์วิธี แปรงแสบ บ้าง

       ( 21 ) ลงกรรมกรณ์วิธี กางเวียน บ้าง

       ( 22 ) ลงกรรมกรณ์วิธี ตั้งฟาง บ้าง

       ( 23 ) ราดด้วยน้ํามันเดือด ๆ บ้าง

       ( 24 ) ให้สุนัขทิ้งบ้าง

       ( 25 ) ให้นอนหงายบนหลาวทั้งเป็น ๆ บ้าง 

       ( 26 ) ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง


- - - - - - - - - - - - - - - - - - -   

* * * ข้างล่างนี้ มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฏกด้วย แต่ไม่ได้เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า  เป็นคำแต่งใหม่ที่ใส่เพิ่มเข้าไป

* * * ในหระไตรปิฏก ระบุไว้ว่าเป็นกฎหมายตราสามดวง เล่ม 4 ( พิมพ์ตามต้นฉบับกฎหมายตราสามดวง ฉบับหลวง )

       หมวด พระไอยการกระบดศึก พิมพ์ครั้งที่ 2 สํานักพิมพ์คุรุสภา

       ปีที่พิมพ์ พ.ศ.2536


- - - - - - - - - - - - - - - - - - -   

       1.หม้อเดี๋ยวน้ําส้ม คือ ให้ต่อยกระบานศีศะเลิกออกเสีย แล้ว เอาคีมคีบก้อนเหลกแดงใหญ่ใส่ลง ให้มันสะหมองศีศะพลุ่งฟูขึ้น ดั่งม่อเคี่ยวน้ําส้มพะอูม 

       2.ขอดสังข์ คือ ให้ตัดแต่หนังจำระเบื้องหน้า ถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเปนกําหนด ถึงหมวกหูทั้งสองข้างเปนกําหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเปนกําหนด แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคนโยกถอนคลอนสั่น เพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้ว เอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชําระให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

       3.ปากราหู คือ เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้แล้วตามประทีปไว้ในปาก ไนยหนึ่งเอาปากสิ่วอันคมนั้น แสะแหวะผ่าปากจนหมวกหูทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเตมปาก

       4.มาลัยไฟ คือ เอาผ้าชุ่มน้ํามันพันให้ทั่วกายแล้วเอาเพลิงจุด

       5.คบมือ คือ เอาผ้าชุบน้ํามันพันนิ้วมือสิ้นทั้ง 10 นิ้วแล้วเอาเพลิงจุด 

       6.ริ้วส่าย คือ เชือดเนื้อให้เปนแร่ง เปนริ้ว อย่าให้ขาด ให้เนื่องด้วยหนังตั้งแต่ใต้ตอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจําให้เดิรเหยียบย้ําริ้วเนื้อ ริ้วหนังแห่งตนให้ฉุดคร่าตีจําให้เดิรไปจนกว่าจะตาย 

       7.น่งเปลือกไม้ คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเปนแร่ง เปนริ้ว แต่ใต้คอลงมาถึงเอวแล้วเชือดแต่เอวให้เป็นแร่ง เปนริ้วลงมาถึงข้อเท้า กระทําเนื้อเบื้องบนนั้นให้เปนริ้วตกปกคลุมลงมา เหมือนนุ่งผ้าคากรอง

       8.ยืนกวาง คือ เอาห่วงเหลกสวมข้อสอกทังสองข้อเข่าทังสองข้างให้หมั้นแล้วเอาหลักเหลกสอดลงในวงเหลกแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่นดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงลนให้รอบตัวกว่าจะตาย

       9.เกี่ยวเหยื่อเบ็ด คือ เอาเบดใหญ่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วกาย เพิกหนังเนื้อแลเอนน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมากว่าจะตาย 

       10.เหรียญกษาปณ์ คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกมาจากกาย แต่ที่ละตําลึงกว่าจะสิ้นมังสะ

       11.แปรงแสบ คือ ให้แล่สับฟันทั่วกาย แล้วเอาแปรงหวีชุบน้ําแสบกรีดครูดขุดเซาะหนังแลเนื้อแลเอนน้อยใหญ่ ให้ลอกออกมาให้สิ้น ให้อยู่แต่ร่างกระดูก

       12.กางเวียน คือ ให้นอนลงโดยข้าง ๆ หนึ่งแล้ว ให้เอาหลาวเหลกตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดิน แล้วจับเท้าทังสองหันเวียนไปดังบุทคลทําบังเวียน

       13.ดั่งฟาง คือ ทํามิให้เนื้อพังหนังขาด เอาลูกศีลาบดทุบกระดูกให้แหลกย่อยแล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทําให้เนื้อเปนกองเปนลอม แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทังกระดูกนั้นทอดวางไว้ ทําดั่งตั้งอันทําด้วยฟางซึ่งไว้เชดเท้า

       14.ราดด้วยน้ํามันเดือด ๆ คือ เคี่ยวน้ํามันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วรดสาดลงมาแต่ศีศะกว่าจะตาย

       15.ให้สุนัขทึ้ง คือ ให้กักขังสูนักขร้ายทังหลายไว้ ให้อดอาหารหลายวันให้เตมหยาก แล้วปล่อยออกให้กัดทิ้งเนื้อหนังกิน ให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า


* * * ( ข้างบนนี้-ทั้งหมด ) คัดมาจากหนังสือ พุทธวจน เรื่อง ภพภูมิ  /  หัวข้อใหญ่ : นรก  /  หัวข้อย่อย : ความทุกข์ในนรก  /  หัวข้อเลขที่ : 23  /  -บาลี อุปริ. ม. 14/334-346/504-525.  /  หน้าที่ : 73 , 74 , 75 , 76 , 77 , 78 , 79 , 80 , 81 , 82 , 83 , 84 , 85 , 86 , 87 , 88 

- END -