Sunday, March 14, 2021

ทรงประพฤติอัตตกิลมถานุโยค ( วัตรของเดียรถีย์ )

 

พุทธวจน - คําสอนจากพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้า

เรื่อง ทรงประพฤติอัตตกิลมถานุโยค ( วัตรของเดียรถีย์ ) 

สารีบุตร !  เราตถาคตรู้เฉพาะซึ่งพรหมจรรย์อันประกอบด้วยองค์ 4 ที่ได้ประพฤติแล้ว ; ตปัสสีวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง , ลูขวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง , เชคุจฉิวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง , ปวิวิตตวัตร เราก็ได้ประพฤติอย่างยิ่ง

       ในวัตร 4 อย่างนั้น นี้เป็น ตปัสสีวัตร ( วัตรเพื่อมีตบะ ) ของเรา คือ เราได้ประพฤติเปลือยกาย มีมรรยาทอันปล่อยทิ้งเสียแล้ว เป็นผู้ประพฤติเช็ดอุจจาระของตนด้วยมือ ถือเป็นผู้ไม่รับอาหารที่เขาร้องเชิญว่าท่านผู้เจริญจงมา ไม่รับอาหารที่เขาร้องนิมนต์ว่าท่านผู้เจริญจงหยุดก่อน ไม่ยินดีในอาหารที่เขานำมาจำเพาะ ไม่ยินดีในอาหารที่เขาทำอุทิศเจาะจง ไม่ยินดีในอาหารที่เขาร้องนิมนต์ เราไม่รับอาหารจากปากหม้อ ไม่รับอาหารจากปากภาชนะ ไม่รับอาหารคร่อมธรณีประตู ไม่รับอาหารคร่อมท่อนไม้ ไม่รับอาหารคร่อมสาก ไม่รับอาหารของชนสองคนผู้บริโภคอยู ไม่รับอาหารของหญิงมีครรภ์ ไม่รับอาหารของหญิงที่กำลังให้บุตรดื่มนมอยู่ ไม่รับอาหารของหญิงผู้ไปในระหว่างแห่งบุรุษ ไม่รับอาหารในอาหารที่มนุษย์ชักชวนร่วมกันทำ ไม่รับอาหารในที่ที่มีสุนัขเข้าไปยืนเฝ้าอยู่ ไม่รับอาหารในที่ที่เห็นแมลงวันบินไปเป็นหมู่ๆ ไม่รับปลา ไม่รับเนื้อ ไม่รับสุรา ไม่รับเมรัย ไม่ดื่มน้ำอันดองด้วยแกลบ เรารับเรือนเดียวฉันคำเดียวบ้าง รับสองเรือนฉันสองคำบ้าง รับสามเรือนฉันสามคำบ้าง … รับเจ็ดเรือนฉันเจ็ดคำบ้าง , เราเลี้ยงร่างกายด้วยอาหารในภาชนะน้อยๆ ภาชนะเดียวบ้าง เลี้ยงร่างกายด้วยอาหารในภาชนะน้อยๆ สองภาชนะบ้าง … เลี้ยงร่างกายด้วยอาหารในภาชนะน้อยๆ เจ็ดภาชนะบ้าง เราฉันอาหารที่เก็บไว้วันเดียวบ้าง ฉันอาหารที่เก็บไว้สองวันบ้าง … ฉันอาหารที่เก็บไว้เจ็ดวันบ้าง , เราประกอบความเพียรในภัตรและโภชนะมีปริยายอย่างนี้ จนถึงกึ่งเดือนด้วยอาการอย่างนี้ เรานั้น มีผักเป็นภักษาบ้าง มีสารแห่งหญ้ากับแก้เป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง มีเปลือกไม้เป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำข้าวเป็นภักษาบ้าง มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีข้าวสารหักเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัย ( ขี้วัว ) เป็นภักษาบ้าง มีผลไม้และรากไม้ในป่าเป็นอาหารบ้าง บริโภคผลไม้อันเป็นไป ( หล่นเอง ) ยังชีวิตให้เป็นไปบ้าง  เรานั้นนุ่งห่มด้วยผ้าป่านบ้าง นุ่งห่มผ้าเจือกันบ้าง นุ่งห่มผ้าที่เขาทิ้งไว้กับซากศพบ้าง นุ่งห่มผ้าคลุกฝุ่นบ้าง นุ่งห่มเปลือกไม้บ้าง นุ่งห่มหนังอชินะบ้าง นุ่งห่มหนังอชินะทั้งเล็บบ้าง นุ่งห่มแผ่นหญ้าคากรองบ้าง นุ่งห่มแผ่นปอกรองบ้าง นุ่งห่มแผ่นกระดานกรองบ้าง นุ่งห่มผ้ากัมพลผมคนบ้าง นุ่งห่มผ้ากัมพลทำ ด้วยขนหางสัตว์บ้าง นุ่งห่มปีกนกเค้าบ้าง ( ศัพท์นี้แปลกที่ไม่มีคำว่ากัมพล )

       เราตัดผมและหนวด ประกอบตามซึ่งความเพียรในการตัดผมและหนวด , เราเป็นผู้ยืนกระหย่ง ห้ามเสียซึ่งการนั่ง , เป็นผู้เดินกระหย่ง ประกอบตามซึ่งความเพียรในการเดินกระหย่งบ้าง , เราประกอบการยืน การเดินบนหนาม สำเร็จการนอนบนที่นอนทำ ด้วยหนาม , เราประกอบตามซึ่งความเพียรในการลงสู่น้ำ เวลาเย็นเป็นครั้งที่ 3 บ้าง , เราประกอบตามซึ่งความเพียรในการทำ ( กิเลสใน ) กายให้เหือดแห้ง ด้วยวิธีต่างๆ เช่นนี้ ด้วยอาการอย่างนี้  สารีบุตร!  นี่แล เป็นวัตรเพื่อความเป็นผู้มีตบะของเรา

       สารีบุตร!  ในวัตรสี่อย่างนั้น นี้เป็น ลูขวัตร ( วัตรในการเศร้าหมอง ) ของเรา คือ ธุลีเกรอะกรังแล้วที่กายสิ้นปีเป็นอันมากเกิดเป็นสะเก็ดขึ้น  สารีบุตร! เปรียบเหมือนตอตะโกนานปีมีสะเก็ดขึ้นแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น ธุลีเกรอะกรังแล้วที่กาย สิ้นปีเป็นอันมากจนเกิดเป็นสะเก็ดขึ้น.

       สารีบุตร! ความคิดนึกว่า โอหนอ เราพึงลูบธุลีนี้ออกเสียด้วยฝ่ามือเถิด ดังนี้ ไม่มีแก่เรา , แม้ความคิดนึกว่าก็หรือชนเหล่าอื่นพึงลูบธุลีนี้ออกเสียด้วยฝ่ามือเถิด ดังนี้ ก็มิได้มีแก่เรา

       สารีบุตร! นี้แล เป็นวัตรในความเป็นผู้เศร้าหมองของเรา

       สารีบุตร!  ในวัตร 4 อย่างนั้น นี้เป็น เชคุจฉิวัตร ( วัตรในความเป็นผู้รังเกียจ ) ของเรา คือ

       สารีบุตร ! เรานั้นมีสติก้าวขาไป มีสติก้าวขากลับ โดยอาการเท่าที่ความเอ็นดูอ่อนโยนของเราพึงบังเกิดขึ้น แม้ในหยาดแห่งน้ำ ว่าเราอย่าทำสัตว์น้อยๆ ทั้งหลาย ที่มีคติไม่เสมอกันให้ลำบากเลย

       สารีบุตร! นี้แลเป็นวัตรในความเป็นผู้รังเกียจของเรา

       สารีบุตร!  ในวัตรสี่อย่างนั้น นี้เป็น ปวิวิตตวัตร ( วัตรในความเป็นผู้สงัดทั่วแล้ว ) ของเรา คือ

       สารีบุตร! เรานั้นเข้าสู่ราวป่าแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแลอยู่ เมื่อเห็นคนเลี้ยงโค หรือคนเลี้ยงปศุสัตว์ หรือคนเกี่ยวหญ้า หรือคนหาไม้ หรือคนทำงานในป่ามา เราก็รีบลัดเลาะจากป่านี้ไปป่าโน้น จากรกชัฏนี้ สู่รกชัฏโน้น จากลุ่มนี้สู่ลุ่มโน้น จากดอนนี้สู่ดอนโน้น เพราะเหตุคิดว่า ขอคนพวกนั้นอย่าเห็นเราเลย และเราก็อย่าได้เห็นชนพวกนั้น

       สารีบุตร! เปรียบเหมือนเนื้ออันอยู่ในป่า เห็นมนุษย์แล้วย่อมเลาะลัดจากป่านี้สู่ป่าโน้น จากรกชัฏนี้สู่รกชัฏโน้น จากลุ่มนี้สู่ลุ่มโน้น จากดอนนี้สู่ดอนโน้น , ฉันใดก็ฉันนั้น ที่เราเมื่อเห็นคนเลี้ยงโค หรือคนเลี้ยงปศุสัตว์ หรือคนเกี่ยวหญ้า หรือคนหาไม้ หรือคนทำงานในป่ามา ก็รีบเลาะลัดจากป่านี้สู่ป่าโน้น จากรกชัฏนี้สู่รกชัฏโน้น จากลุ่มนี้
สู่ลุ่มโน้น จากดอนนี้สู่ดอนโน้น ด้วยหวังว่า คนพวกนี้อย่าเห็นเราเลย และเราก็อย่าได้เห็นคนพวกนั้น

       สารีบุตร! นี้แล เป็นวัตรในความเป็นผู้สงัดทั่วของเรา

       สารีบุตร!  เรานั้น โคเหล่าใดออกจากคอกหาคนเลี้ยงมิได้ , เราก็คลานเข้าไปในที่นั้น ถือเอาโคมัยของลูกโคน้อยๆ ที่ยังดื่มนมแม่เป็นอาหาร

       สารีบุตร! มูตรและกรีส ( ปัสสาวะและอุจจาระ ) ของตนเอง ยังไม่หมดเพียงใด เราก็ถือมูตรและกรีสนั้นเป็นอาหารตลอดกาลเพียงนั้น

       สารีบุตร! นี้แล เป็นวัตรใน มหาวิกฏโภชนวัตร ของเรา

       สารีบุตร!  เราแลเข้าไปสู่ชัฏแห่งป่าน่าสะพรึงกลัวแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วแลอยู่  เพราะชัฏแห่งป่านั้นกระทำซึ่งความกลัวเป็นเหตุ ผู้ที่มีสันดานยังไม่ปราศจากราคะ เข้าไปสู่ชัฏป่านั้นแล้ว โลมชาติย่อมชูชันโดยมาก

       สารีบุตร!  เรานั้นในราตรีทั้งหลาย อันมีในฤดูหนาวระหว่าง 8 วัน เป็นสมัยที่ตกแห่งหิมะอันเย็นเยือก กลางคืนเราอยู่ที่กลางแจ้ง กลางวันเราอยู่ในชัฏแห่งป่า ครั้นถึงเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อน กลางวันเราอยู่ในที่แจ้ง กลางคืนเราอยู่ในป่า

       สารีบุตร ! คาถาน่าเศร้านี้ อันเราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน มาแจ้งแก่เราว่า :-

       “เรานั้นแห้ง ( ร้อน ) แล้วผู้เดียว , เปียกแล้วผู้เดียว , อยู่ในป่าน่าพึงกลัวแต่ผู้เดียว , เป็นผู้มีกายอันเปลือยเปล่า ไม่ผิงไฟ , เป็นมุนีขวนขวายแสวงหาความบริสุทธิ์” ดังนี้

       สารีบุตร!  เรานั้นนอนในป่าช้า ทับกระดูกแห่งซากศพทั้งหลาย ฝูงเด็กเลี้ยงโคเข้ามาใกล้เรา โห่ร้องใส่หูเราบ้าง ถ่ายมูตรรดบ้าง ซัดฝุ่นใส่บ้าง เอาไม้แหลมๆ ทิ่มช่องหูบ้าง.

       สารีบุตร! เราไม่รู้สึกซึ่งจิตอันเป็นบาปต่อเด็กเลี้ยงโคทั้งหลายเหล่านั้น แม้ด้วยการทำความคิดนึกให้เกิดขึ้น. สารีบุตร! นี้เป็น วัตรในการอยู่อุเบกขาของเรา

       สารีบุตร!  สมณพราหมณ์บางพวกมักกล่าวมักเห็น อย่างนี้ว่า “ความบริสุทธิ์มีได้เพราะอาหาร” สมณพราหมณ์ พวกนั้นกล่าวกันว่า พวกเราจงเลี้ยงชีวิตให้เป็นไปด้วยผล กะเบา  ทั้งหลายเถิด สมณพราหมณ์เหล่านั้น จึงเคี้ยวกิน ผลกะเบาบ้าง เคี้ยวกินกะเบาตำผงบ้าง ดื่มน้ำคั้นจากผลกะเบาบ้าง ย่อมบริโภคผลกะเบาอันทำให้แปลกๆ มีอย่าง ต่างๆ บ้าง

       สารีบุตร! เราก็ได้ใช้ กะเบา ผลหนึ่งเป็นอาหาร

       สารีบุตร! คำเล่าลืออาจมีแก่เธอว่า ผลกะเบา ( พุทรา ) ในครั้งนั้น ใหญ่มาก ข้อนี้เธออย่าเห็นอย่างนั้น ผลกะเบาในครั้งนั้น ก็โตเท่านี้เป็นอย่างยิ่ง เหมือนในครั้งนี้เหมือนกัน

       สารีบุตร! เมื่อเราฉันกะเบาผลเดียวเป็นอาหาร ร่างกายได้ถึงความซูบผอมอย่างยิ่ง  เถาวัลย์อาสีติกบรรพ หรือเถากาฬบรรพ มีสัณฐานเช่นไร อวัยวะน้อยใหญ่ของเรา ก็เป็นเหมือนเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย  รอยเท้าอูฐมีสัณฐานเช่นไร รอยตะโพกนั่งทับของเราก็มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย  เถาวัฏฏนาวฬีมีสัณฐานเช่นใด กระดูก สันหลังของเราก็เป็นข้อๆ มีสัณฐานเช่นนั้นเพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย  กลอน ( หรือจันทัน ) แห่งศาลาที่คร่ำคร่า เกะกะมีสัณฐานเช่นไร ซี่โครงของเราก็เกะกะมีสัณฐานเช่นนั้น   เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย ดวงดาวที่ปรากฏในน้ำ ในบ่อน้ำอันลึก ปรากฏอยู่ลึกฉันใด ดวงดาวคือลูกตาของเรา ปรากฏอยู่ลึกในเบ้าตาฉันนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย

       น้ำเต้าที่เขาตัดแต่ยังอ่อน ครั้นถูกลมและแดดย่อมเหี่ยวยู่ยี่ มีสัณฐานเช่นไร หนังศีรษะแห่งเราก็เหี่ยวยู่มีสัณฐานเช่นนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย

       สารีบุตร !  เราตั้งใจว่าลูบท้อง ก็ลูบถูกกระดูกสันหลังด้วย , ตั้งใจว่าลูบกระดูกสันหลัง ก็ลูบถูกท้องด้วย

       สารีบุตร! หนังท้องกับกระดูกสันหลังของเราชิดกันสนิท เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย

       สารีบุตร! เราเมื่อคิดว่าจักถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ล้มพับอยู่ตรงนั้น เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย

       สารีบุตร!  เราเมื่อจะบรรเทาซึ่งกายนั้นให้มีความสุขบ้าง จึงลูบตัวด้วยฝ่ามือ , เมื่อเราลูบตัวด้วยฝ่ามือ ขนที่มีรากเน่าแล้วได้หลุดออกจากกายร่วงไป เพราะความเป็นผู้มีอาหารน้อย 

       ( ต่อจากนี้ มีเรื่องการบริสุทธิ์เพราะอาหารอย่างเดียวกันกับการบริโภคผลกะเบา ต่างกันแต่แทนผลกะเบากลายเป็น ถั่วเขียว , งา , ข้าวสาร เท่านั้น  พระองค์ได้ทดลองเปลี่ยนทุกๆ อย่าง เรื่องตั้งแต่ต้นมา แสดงว่า พระองค์ได้เคยทรงประพฤติวัตรของเดียรถีย์ ที่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค แล้วทุกๆอย่าง สรุปเรียกได้ว่าส่วนสุดฝ่ายข้างตึง ที่พระองค์สอนให้เว้นในยุคหลัง  วัตรเหล่านี้ สันนิษฐานว่าทำทีหลังการไปสำนัก 2 ดาบส

       ถ้าทีหลังก็ต้องก่อนเบญจวัคคีย์ไปอยู่ด้วย ยุติเป็นอย่างไรแล้วแต่จะวินิจฉัย เพราะระยะทำ ความเพียรนานถึง 6 ปี ได้เหตุผลเป็นอย่างไรโปรดเผยแผ่กันฟังด้วย. -ผู้แปล )

* * * ( ข้างบนนี้-ทั้งหมด ) คัดมาจากหนังสือ พุทธวจน เรื่อง ตถาคต  /  หัวข้อใหญ่ : เริ่มแต่ออกบรรพชาแล้วเที่ยวเสาะแสวงหาความรู้ ทรมานพระองค์ จนได้ตรัสรู้  /  หัวข้อย่อย : ทรงประพฤติอัตตกิลมถานุโยค ( วัตรของเดียรถีย์ )  /  หัวข้อเลขที่ : 41  /  -บาลี อฏฺญฐก. อํ. 23/240/121.  /  หน้าที่ : 95 , 97 , 98 , 99 , 100 , 101 , 102 , 103 

- END -