Friday, March 19, 2021

ทรงข่มสัจจกนิครนถ์

 

พุทธวจน - คําสอนจากพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้า

เรื่อง ทรงข่มสัจจกนิครนถ์ 

      สัจจกนิครนถ์ ได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ท่านพระโคดมแนะนำพวกสาวกอย่างไร และคำสั่งสอนของท่านพระโคดมมีส่วนอย่างไรที่เป็นไปมากในพวกสาวก ?

       อัคคิเวสสนะ!  เราแนะนำ สาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้ ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลายว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตน เวทนาไม่ใช่ตน สัญญาไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตน วิญญาณไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตน ดังนี้

       อัคคิเวสสนะ!  เราแนะนำ สาวกทั้งหลายอย่างนี้ และคำสั่งสอนของเรามีส่วนอย่างนี้ ที่เป็นไปมากในสาวกทั้งหลาย

       ท่านพระโคดม !  ขออุปมาจงแจ่มแจ้งแก่ข้าพเจ้า

       อัคคิเวสสนะอุปมานั้นจงแจ่มแจ้งแก่ท่านเถิด

       ท่านพระโคดม เหมือนพืชพันธุ์ไม้เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ พืชพันธุ์เหล่านั้นทั้งหมด ต้องอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดิน จึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้ หรือเหมือนการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ต้องทำด้วยกำลัง อันบุคคลทำอยู่ การงานเหล่านั้นทั้งหมด บุคคลต้องอาศัยแผ่นดิน ต้องตั้งอยู่บนแผ่นดินจึงทำกันได้ ฉันใด บุรุษบุคคลนี้ มีรูปเป็นตน มีเวทนาเป็นตน มีสัญญาเป็นตน มีสังขารเป็นตน มีวิญญาณเป็นตน ต้องตั้งอยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้ประสบผลบุญ ผลบาป ฉันนั้น

       อัคคิเวสสนะ!  ข้อนั้นท่านกล่าวอย่างนี้ว่า รูปเป็นตนของเรา เวทนาเป็นตนของเรา สัญญาเป็นตนของเรา สังขารทั้งหลายเป็นตนของเรา วิญญาณเป็นตนของเราดังนี้ มิใช่หรือ

       ท่านพระโคดม!  ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนั้น ประชุมชนเป็นอันมากก็กล่าวอย่างนั้น

       อัคคิเวสสนะ!  ประชุมชนเป็นอันมากนั้นจักทำอะไรแก่ท่าน อัคคิเวสสนะ! เชิญท่านยืนยันถ้อยคำของท่านเถิด

       ท่านพระโคดม !  เป็นความจริง ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้ รูปเป็นตนของเรา เวทนาเป็นตนของเรา สัญญาเป็นตนของเรา สังขารทั้งหลายเป็นตนของเรา วิญญาณเป็นตนของเราดังนี้ 

       อัคคิเวสสนะ!  ถ้าอย่างนั้น เราจักสอบถามท่านในข้อนี้แหละ ท่านเห็นควรอย่างไร ท่านพึงแก้ไขอย่างนั้น อัคคิเวสสนะ! ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร อำนาจของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้าอชาตศัตรูเวเทหิบุตรแห่งมคธ อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบทรัพย์คนที่ควรริบทรัพย์ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ พึงให้เป็นไปได้ในพระราชอาณาเขตของพระองค์มิใช่หรือ

       ท่านพระโคดม !  อำนาจของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้าอชาตศัตรูเวเทหิบุตรแห่งมคธ อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบทรัพย์คนที่ควรริบทรัพย์ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ พึงให้เป็นไปได้ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ แม้แต่อำนาจของหมู่คณะเหล่านี้ คือ วัชชี มัลละ อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบทรัพย์คนที่ควรริบทรัพย์ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ ยังเป็นไปได้ในแว่นแคว้นของตนๆ เหตุไรเล่า อำนาจเช่นนั้นของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้ว เช่นพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือพระเจ้าอชาตศัตรูเวเทหิบุตรแห่งมคธ จะให้เป็นไปไม่ได้ อำนาจเช่นนั้นของพระราชามหากษัตริย์ ผู้ได้มุรธาภิเษกแล้วนั้นต้องให้เป็นไปได้ด้วย ควรจะเป็นไปได้ด้วย

       อัคคิเวสสนะ!  ท่านจะสำ คัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ข้อที่ท่านกล่าวว่า รูปเป็นตนของเรา อำนาจของท่านเป็นไปในรูปนั้นว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ ?

       ลำดับนั้น สัจจนิครนถ์ได้นิ่งเสีย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามอีกเป็นครั้งที่ 2 สัจจกนิครนถ์ก็ยังคงนิ่งอีก พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสกะสัจจกนิครนถ์ต่อไปว่า :-

       อัคคิเวสสนะ!  กาลบัดนี้ ท่านจงแก้ ไม่ใช่การที่ท่านควรนิ่ง อัคคิเวสสนะ ! ผู้ใดอันตถาคตถามปัญหาที่ชอบแก่เหตุแล้วถึง 3 ครั้ง มิได้แก้ ศีรษะของผู้นั้นจะแตกเป็น 7 เสี่ยงในที่เช่นนั้น

       พระโคดมผู้เจริญ!  ขอจงทรงถามเถิด ข้าพเจ้าจักแก้ ณ บัดนี้

       อัคคิเวสสนะ!  ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ท่านกล่าวอย่างนี้ว่ารูปเป็นตนของเรา ดังนี้ อำนาจของท่านเป็นไปในรูปนั้นว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ

       ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ!  

       อัคคิเวสสนะ!  ท่านจงทำไว้ในใจเถิด ครั้นทำไว้ในใจแล้ว จึงกล่าวแก้ เพราะคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำ หลังของท่านไม่ต่อกัน

       อัคคิเวสสนะ! ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นตนของเรา สัญญาเป็นตนของเรา สังขารทั้งหลายเป็นตนของเรา วิญญาณเป็นตนของเรา ดังนี้ อำนาจของท่านเป็นไปในเวทนา ในสัญญา ในสังขารทั้งหลาย และในวิญญาณว่า เวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย และวิญญาณของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ

       ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ!  

       อัคคิเวสสนะ !  ท่านจงทำในใจเถิด ครั้นทำไว้ในใจแล้ว จึงกล่าวแก้ เพราะคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของท่านไม่ต่อกัน

       อัคคิเวสสนะ! ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร รูป เวทนา สัญญา สังขารทั้งหลาย และวิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง

       ไม่เที่ยง พระโคดมผู้เจริญ!  

       ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า

       สิ่งนั้นเป็นทุกข์ พระโคดมผู้เจริญ!  

       ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา ( เอต มม เอโสหมสฺมิ เอโส เม อตฺตาติ )

       ข้อนั้นไม่ควรเลย พระโคดมผู้เจริญ!  

       อัคคิเวสสนะ!  ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร ผู้ใดติดทุกข์ เข้าถึงทุกข์อยู่แล้ว กล้ำกลืนทุกข์แล้ว ยังตามเห็นทุกข์ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเราดังนี้ ผู้นั้นกำหนดรู้ทุกข์ได้เอง หรือจะทำทุกข์ให้สิ้นไปได้แล้วจึงอยู่ มีบ้างหรือ ?

       จะพึงมีได้เพราะเหตุไร ข้อนี้มีไม่ได้เลย พระโคดมผู้เจริญ!  

       อัคคิเวสสนะ!  ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านติดทุกข์ เข้าถึงทุกข์อยู่แล้ว กล้ำ กลืนทุกข์แล้ว ยังตามเห็นทุกข์ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา ดังนี้ มิใช่หรือ

       ไฉนจะไม่ถูกพระเจ้าข้า ข้อนี้ต้องเป็นอย่างนั้นพระโคดมผู้เจริญ!

       อัคคิเวสสนะ!  เปรียบเหมือนบุรุษมีความต้องการแก่นไม้ เสาะหาแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้อยู่ ถือเอาผึ่งที่คม
เข้าไปสู่ป่า เขาเห็นต้นกล้วยใหญ่ต้นหนึ่งในป่านั้น มีต้นตรง ยังกำลังรุ่น ไม่คด เขาจึงตัดต้นกล้วยนั้นที่โคนต้น แล้วตัดยอด ริดใบออก เขาไม่พบแม้แต่กระพี้ แล้วจะพบแก่นได้แต่ที่ไหน แม้ฉันใด  อัคคิเวสสนะ! ท่านอันเราซักไซ้ไล่เลียง สอบสวน ในถ้อยคำของตนเอง ก็เปล่าว่าง แพ้ไปเอง ท่านได้กล่าววาจานี้ในที่ประชุมชน ในเมืองเวสาลีว่า เราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ แม้ที่ปฏิญญาตนว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรารภโต้ตอบวาทะกับเราจะไม่พึงประหม่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเหงื่อไหลจากรักแร้ แม้แต่คนเดียวเลย หากเราปรารภโต้ตอบวาทะกะเสาที่ไม่มีเจตนา แม้เสานั้นปรารภโต้ตอบวาทะกับเรา ก็ต้องประหม่า สะทกสะท้าน หวั่นไหว จะป่วยกล่าวไปไยถึงมนุษย์เล่า ดังนี้  อัคคิเวสสนะ ! หยาดเหงื่อของท่านบางหยาด หยดจากหน้าผากลงยังผ้าห่มแล้วตกที่พื้น ส่วนเหงื่อในกายของเราในเดี๋ยวนี้ไม่มีเลย

       พระผู้มีพระภาคทรงเปิดพระกายในบริษัทนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว สัจจกนิครนถ์นั่งนิ่งอึ้ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ

* * * ( ข้างบนนี้-ทั้งหมด ) คัดมาจากหนังสือ พุทธวจน เรื่อง ตถาคต  /  หัวข้อใหญ่ : ทรงเผยแผ่พระศาสนา  /  หัวข้อย่อย : ทรงข่มสัจจกนิครนถ์  /  หัวข้อเลขที่ : 105  /  -บาลี ม. ม. 12/425-432/396-399.  /  หน้าที่ : 263 , 264 , 265 , 266 , 267 , 268 

- END -