อุปัชฌาย์ ( อ่านว่า - อุ-ปัด-ชา ) ความหมายโดยพยัญชนะว่าผู้เข้าไปเพ่ง กล่าวคือ ได้แก่ผู้คอยดูแลเอาใจใส่ คอยแนะนำพรำเตือนสัทธิวิหาริก ( ลูกศิษย์ ) ของตน ซึ่งก็คือพระเถระผู้ทำหน้าที่เป็นประธานในการบวชกุลบุตรในพระพุทธศาสนา เรียกทั่วไปว่า พระอุปัชฌาย์ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า "Preceptor"
พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่หลัก 2 อย่างคือเป็นผู้รับผิดชอบและรับรองผู้บวชในพิธีบรรพชาอุปสมบทและเป็นผู้รับปกครองดูแล แนะนำ ตักเตือนและติดตามความเป็นอยู่ของผู้ที่ตนบวชให้ เหมือนบิดาปกครองดูแลบุตร ตามกฎมหาเถรสมาคมนั้นได้กำหนดให้เขตปกครองคณะสงฆ์ตำบลหนึ่ง ให้มีพระอุปัชฌาย์เพียงหนึ่งรูป เว้นแต่มีกรณีพิเศษ
หลักฐานการใช้คำว่าอุปัชฌาย์ในอดีต
ปรากฏในช่วงเริ่มตติยสังคยานา หลังพุทธปรินิพพานประมาณ 300 ปี หลังจากที่พระเจ้าอโศกทรงเลิกทำสงคราม ก็คิดจะหาความสงบพระทัย เดิมทีพระองค์ทรงนับถือลัทธินอกพุทธศาสนาอยู่ 3 ปี ได้ถวายภัตตาหารให้แก่นักบวชในลัทธิต่างๆ วันละหลายแสนคน พอเข้าปีที่ 4 ก็ได้หันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เพราะอานุภาพของสามเณรนิโครธ
นิโครธสามเณรได้กล่าวหัวข้อธรรม เรื่องความไม่ประมาทให้พระราชาหรือพระเจ้าอโศกได้สดับว่า อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความประมาท เป็นทางแห่งความตาย จากนั้นก็เทศน์ด้วยสำเนียงที่ไพเราะเพราะพริ้ง นี่ขนาดถ่อมตนว่ารู้น้อยแล้ว แต่เทศน์ได้ยอดเยี่ยมมาก ไพเราะทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย พระราชาพอได้สดับแล้ว ก็ปลื้มปีติในธรรมที่สามเณรน้อยได้แสดง มีรับสั่งว่า พ่อเณร โยมจะขอบูชากัณฑ์เทศน์ด้วยการถวายภัตรประจำแก่พ่อเณรวันละ 8 สำรับ
สามเณรถวายพระพรว่า “มหาบพิตร อาตมภาพ จะถวายธุวภัตรเหล่านั้นแก่พระอุปัชฌาย์” พระราชาตรัสถามว่า “พ่อเณร ผู้ที่ชื่อว่าอุปัชฌาย์ของท่านคือใคร” สามเณรถวายพระพรว่า “ มหาบพิตร ผู้ที่เห็นโทษน้อยใหญ่ แล้วคอยตักเตือน และให้ระลึกไม่ให้ทำบาปอกุศล ชื่อว่าพระอุปัชฌาย์”
พระราชามีรับสั่งว่า “พ่อเณร งั้นโยมจะถวายภัตรเพิ่มอีก 8 สำหรับ แก่พ่อเณร” สามเณรก็ถวายพระพรว่า “มหาบพิตร อาตมภาพจะถวายภัตรเหล่านั้นแก่พระอาจารย์” พระราชาตรัสถามว่า “ พ่อเณร ผู้ที่ชื่อว่าพระอาจารย์นี้คือใคร” สามเณรถวายพระพรว่า “มหาบพิตร ผู้ที่ให้อันเตวาสิก และสัทธิวิหาริก ตั้งอยู่ในธรรมที่ควรศึกษาในพระศาสนานี้ ชื่อว่าพระอาจารย์”
การแต่งตั้ง
ปัจจุบันอุปัชฌาย์ในประเทศไทยจะต้องได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยการคณะสงฆ์ เป็นเองไม่ได้ กล่าวคือต้องเป็นพระอุปัชฌาย์ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 17 ( พ.ศ. 2536 ) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์
ประเภท
ปัจจุบันพระอุปัชฌาย์มี 3 ประเภท อันได้แก่
1. พระอุปัชฌาย์สามัญ ซึ่งหมายถึง พระอุปัชฌาย์ที่ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะใหญ่
2. พระอุปัชฌาย์วิสามัญ ซึ่งหมายถึง พระอุปัชฌาย์ที่ได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระสังฆราช
3. พระอุปัชฌาย์ผู้ได้รับตราตั้งพระอุปัชฌาย์อยู่ก่อนใช้กฎมหาเถรสมาคม
คุณสมบัติ
1. มีตำแหน่งในทางการปกครองชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไป เว้นแต่พระอารามหลวง
2. มีพรรษามากกว่า 10 ปี
3. ไม่เป็นผู้มีร่างกายทุพพลภาพไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรืออาพาธเป็นโรคติดต่อ เช่น โรคเรื้อน หรือวัณโรคในระยะอันตราย
4. มีประวัติความประพฤติดี
5. เป็นที่นับถือของประชาชน ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์
6. เป็นเปรียญหรือนักธรรมเอก เว้นแต่ในบางท้องถิ่นซึ่งเจ้าคณะพิจารณาเห็นสมควรผ่อนผัน
7. มีความสามารถฝึกสอนผู้อยู่ในปกครองให้เป็นพระภิกษุสามเณรที่ดี ตามพระธรรมวินัย และสามารถบำเพ็ญกรณียกิจอันอยู่ในหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ได้
8. มีความรู้ความสามารถ ทำอุปสมบทกรรมให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย และระเบียบแบบแผนของคณะสงฆ์
เขตความรับผิดชอบในการบรรพชาอุปสมบท
พระอุปัชฌาย์จะให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรได้ภายในเขตที่ระบุไว้ในตราตั้ง หรือเขตอำนาจที่ตนปกครองอยู่ในปัจจุบัน คือ ถ้าเป็น
1. เจ้าอาวาส ภายในวัดของตน
2. เจ้าคณะตำบล ภายในเขตตำบลของตน
3. เจ้าคณะอำเภอ ภายในเขตอำเภอของตน
4. เจ้าคณะจังหวัด ภายในเขตจังหวัดของตน
5. เจ้าคณะภาค ภาคในเขตภาคของตน
6. เจ้าคณะใหญ่ ภายในเขตหนของตน
7. พระอุปัชฌาย์ที่ดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการมหาเถรสมาคม ไม่จำกัดเขต
จริยาพระอุปัชฌาย์
1. พระอุปัชฌาย์ ต้องเอื้อเฟื้อ สังวร ประพฤติ ตามพระธรรมวินัย และกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นแบบอย่างอันดีของสัทธิวิหาริก
2. พระอุปัชฌาย์ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎมหาเถรสมาคมนี้
3. พระอุปัชฌาย์ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งหรือคำแนะนำชี้แจงของพระสังฆาธิการ ผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งโดยชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคมนี้
4. พระอุปัชฌาย์ ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง มิให้บรรพชาอุปสมบทกรรมวิบัติบกพร่องไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ
การระงับหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์
หน้าที่พระอุปัชฌาย์ต้องระงับในเมื่อ
1. พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ในทางปกครอง และมิได้เป็นกิตติมศักดิ์ในตำแหน่งนั้น ๆ หรือถูกให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ในทางปกครอง
2. ขาดคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งตามความในข้อ 8
3. ถูกเป็นจำเลยในอธิกรณ์ที่มีโทษถึงให้สึก และอยู่ในระหว่างไต่สวนพิจารณาวินิจฉัย
4. ถูกถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่พระอุปัชฌาย์
ปัญหาการบวชกับอุปัชฌาย์ที่ปาราชิก
ความเห็นที่หนึ่ง เห็นว่าการบวชนั้นสมบูรณ์เพราะการบวชมิได้เป็นไปแต่โดยลำพังของอุปัชฌาย์เท่านั้น หากพระคู่สวด พระอันดับมิได้อาบัติปาราชิกด้วย การบวชย่อมสมบูรณ์
ความเห็นที่สอง ในการทำสังฆกรรมนั้น แค่มีฆราวาสมาอยู่ใกล้หัตถบาสก์พระสงฆ์ก็ถือว่าสังฆกรรมนั้นไม่บริสุทธิ์แล้ว ให้ขับออกห่างเกินหัตถบาสก์ก่อนแล้วเริ่มทำสังฆกรรมใหม่ หรือหากมีคนที่ขาดจากภิกษุภาวะที่มีบริสุทธิ์ สังฆกรรมนั้นก็โมฆะตั้งแต่ต้น จะนับเป็นพระได้ก็คือให้ชำระสงฆ์ก่อนแล้วเริ่มบวชใหม่เท่านั้น
* * * : ข้างบนนี้ เอาข้อมูลมาจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/อุปัชฌาย์
- - - - - - - - - - - - - - - - - - -
- จบ -