พุทธวจน - คําสอนจากพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้า
เรื่อง ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้ ( อีกนัยหนึ่ง )
เรื่อง ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้ ( อีกนัยหนึ่ง )
ภิกษุทั้งหลาย! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ , ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า “สัตว์โลกนี้หนอ ถึงแล้วซึ่งความยากเข็ญ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ , ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเครื่องออกไปพ้นจากทุกข์ คือชรามรณะแล้ว การออกจากทุกข์ คือชรามรณะนี้ จักปรากฏขึ้นได้อย่างไร”
ภิกษุทั้งหลาย! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะจึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีชรามรณะ” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ได้เกิดความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคาย , แก่เราว่า “เพราะชาติ นั่นแล มีอยู่ ชรามรณะ จึงได้มี : เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ” ดังนี้ * * * ( 1 )
เพราะ ภพ นั่นแล มีอยู่ ชาติ จึงได้มี : เพราะมี ภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ” ดังนี้
…เพราะ อุปาทาน นั่นแล มีอยู่ ภพ จึงได้มี : เพราะมี อุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ” ดังนี้
…เพราะ ตัณหา นั่นแล มีอยู่ อุปาทาน จึงได้มี : เพราะมี ตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน” ดังนี้
…เพราะ เวทนา นั่นแล มีอยู่ ตัณหา จึงได้มี : เพราะมี เวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา” ดังนี้
…เพราะ ผัสสะ นั่นแล มีอยู่ เวทนา จึงได้มี : เพราะมี ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา” ดังนี้
…เพราะ สฬายตนะ นั่นแล มีอยู่ ผัสสะ จึงได้มี : เพราะมี สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ” ดังนี้
…เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ สฬายตนะ จึงได้มี : เพราะมี นามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ” ดังนี้
…เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป จึงได้มี : เพราะมี วิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณจึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น ; ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง :
ข้อนี้ได้แก่การที่เพราะมี นามรูป เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ ; เพราะมี วิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป ;
เพราะมี นามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
เพราะมี สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ;
พราะมี ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา ;
เพราะมี เวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา ;
เพราะมี ตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน ;
เพราะมี อุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ ;
เพราะมี ภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ ;
เพราะมี ชาติ เป็นปัจจัย , ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน :
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้”
ภิกษุทั้งหลาย! ดวงตาเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อนว่า
“ความเกิดขึ้นพร้อม ( สมุทัย )! ความเกิดขึ้นพร้อม ( สมุทัย )!” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราต่อไปว่า “เมื่ออะไรไม่มีหนอ ชรามรณะ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งอะไร จึงมีความดับแห่ง ชรามรณะ” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
“เพราะ ชาติ นั่นแล ไม่มี ชรามรณะ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง ชาติ จึงมีความดับแห่ง ชรามรณะ” ดังนี้
…เพราะ ภพ นั่นแล ไม่มี ชาติ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง ภพ จึงมีความดับแห่ง ชาติ” ดังนี้
…เพราะ อุปาทาน นั่นแล ไม่มี ภพ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง อุปาทาน จึงมีความดับแห่ง ภพ” ดังนี้
…เพราะ ตัณหา นั่นแล ไม่มี อุปาทาน จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง ตัณหา จึงมีความดับแห่ง อุปาทาน” ดังนี้
…เพราะ เวทนา นั่นแล ไม่มี ตัณหา จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง เวทนา จึงมีความดับแห่ง ตัณหา” ดังนี้
…เพราะ ผัสสะ นั่นแล ไม่มี เวทนา จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง ผัสสะ จึงมีความดับแห่ง เวทนา” ดังนี้
…เพราะ สฬายตนะ นั่นแล ไม่มี ผัสสะ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง สฬายตนะ จึงมีความดับแห่ง ผัสสะ” ดังนี้
…เพราะ นามรูป นั่นแล ไม่มี สฬายตนะ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง นามรูป จึงมีความดับแห่ง สฬายตนะ” ดังนี้
…เพราะ วิญญาณ นั่นแล ไม่มี นามรูป จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง วิญญาณ จึงมีความดับแห่ง นามรูป” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “เมื่ออะไรไม่มีหนอ วิญญาณจึงไม่มี : เพราะความดับแห่งอะไร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
“เพราะ นามรูป นั่นแล ไม่มี วิญญาณ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่ง นามรูป จึงมีความดับแห่ง วิญญาณ” ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า “หนทางเพื่อการตรัสรู้นี้ อันเราได้ถึงทับแล้วแล : ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ
เพราะความดับแห่ง นามรูป จึงมีความดับแห่ง วิญญาณ ;
เพราะมีความดับแห่ง วิญญาณ จึงมีความดับแห่ง นามรูป ;
เพราะมีความดับแห่ง นามรูป จึงมีความดับแห่ง สฬายตนะ ;
เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่ง ผัสสะ ;
เพราะมีความดับแห่ง ผัสสะ จึงมีความดับแห่ง เวทนา ;
เพราะมีความดับแห่ง เวทนา จึงมีความดับแห่ง ตัณหา ;
เพราะมีความดับแห่ง ตัณหา จึงมีความดับแห่ง อุปาทาน ;
เพราะมีความดับแห่ง อุปาทาน จึงมีความดับแห่ง ภพ ;
เพราะมีความดับแห่ง ภพ จึงมีความดับแห่ง ชาติ ;
เพราะมีความดับแห่ง ชาติ นั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น :
ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้”
ภิกษุทั้งหลาย! ดวงตาเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อนว่า “ความดับไม่เหลือ ( นิโรธ )! ความดับไม่เหลือ ( นิโรธ )!” ดังนี้
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
* * * ( 1 ) ข้อความตามที่ละ … ไว้นั้น หมายความว่า ได้มีความฉงนเกิดขึ้นทุกๆตอนแล้ว ทรงทำในใจโดยแยบคาย จนความรู้แจ้งเกิดขึ้นทุกๆตอน เป็นลำดับไปจนถึงที่สุด ทั้งฝ่ายสมุทยวารและนิโรธวาร ; ในที่นี้ละไว้โดยนัยที่ผู้อ่านอาจจะเข้าใจเอาเองได้ ; คือเป็นการตัดความรำคาญในการอ่าน - ผู้แปล
* * * ( ข้างบนนี้-ทั้งหมด ) คัดมาจากหนังสือ พุทธวจน เรื่อง ตถาคต / หัวข้อใหญ่ : เริ่มแต่ออกบรรพชาแล้วเที่ยวเสาะแสวงหาความรู้ ทรมานพระองค์ จนได้ตรัสรู้ / หัวข้อย่อย : ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้ ( อีกนัยหนึ่ง ) / หัวข้อเลขที่ : 59 / -บาลี นิทาน. สํ. 16/126/250. / หน้าที่ : 167 , 168 , 169 , 170 , 171 , 172
- END -