Tuesday, March 16, 2021

อาการแห่งการตรัสรู้

 

พุทธวจน - คําสอนจากพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้า

เรื่อง อาการแห่งการตรัสรู้

       ราชกุมาร!  ครั้นเรากลืนกินอาหารหยาบ ทำกายให้มีกำลังได้แล้ว , เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงบรรลุฌานที่ 1 มีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่

       เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึงบรรลุฌานที่ 2 เป็นเครื่องผ่องใสในภายใน เป็นที่เกิดสมาธิแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่

       เพราะความจางไปแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย จึงบรรลุฌานที่ 3 อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวว่าผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข , แล้วแลอยู่

       และเพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน จึงได้บรรลุฌานที่ 4 อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่

       เรานั้น ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงานถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

       เรานั้นระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อนได้หลายประการ คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติ สามชาติ สี่ชาติ ห้าชาติบ้าง, สิบชาติ ยี่สิบชาติ สามสิบชาติ สี่สิบชาติ ห้าสิบชาติบ้าง , ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติบ้าง , ตลอดหลายสังวัฏฏกัปป์ หลายวิวัฏฏกัปป์ หลายสังวัฏฏกัปป์และวิวัฏฏกัปป์บ้าง , ว่าเมื่อเราอยู่ในภพโน้น มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร มีวรรณะ มีอาหารอย่างนั้นๆ , เสวยสุขและทุกข์เช่นนั้นๆ มีอายุสุดลงเท่านั้น ; ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้เกิดในภพโน้น มีชื่อ โคตร วรรณะ อาหารอย่างนั้นๆ , ได้เสวยสุขและทุกข์เช่นนั้นๆ มีอายุสุดลงเท่านั้น ; ครั้นจุติจากภพนั้นๆ แล้ว มาเกิดในภพนี้

       เรานั้นระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการและลักษณะ ดังนี้

       ราชกุมาร!  นี่เป็นวิชชาที่ 1 ที่เราได้บรรลุแล้วในยามแรกแห่งราตรี อวิชชาถูกทำลายแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว , ความมืดถูกทำลายแล้ว ความสว่างเกิดขึ้นแทนแล้ว , เช่นเดียวกับที่เกิดแก่ผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้วแลอยู่ , โดยควร

       เรานั้น ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อ จุตูปปาตญาณ

       เรามีจักขุทิพย์ บริสุทธิ์กว่าจักขุของสามัญมนุษย์ , ย่อมแลเห็นสัตว์ทั้งหลายจุติอยู่ บังเกิดอยู่ , เลวทราม ประณีต , มีวรรณะดี มีวรรณะเลว , มีทุกข์ มีสุข

       เรารู้แจ้งชัด หมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า “ผู้เจริญทั้งหลาย! สัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต พูดติเตียนพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็นมิจฉาทิฏฐิ ประกอบการงานด้วยอำนาจ มิจฉาทิฏฐิ , เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป ย่อมพากันเข้าสู่อบายทุคติวินิบาตนรก

       ท่านผู้เจริญทั้งหลาย! ส่วนสัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า , เป็นสัมมาทิฏฐิ ประกอบการงานด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ , เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป ย่อมพากันเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์”

       เรามีจักขุทิพย์บริสุทธิ์  ล่วงจักขุสามัญมนุษย์ เห็นเหล่าสัตว์ผู้จุติอยู่ บังเกิดอยู่ เลว ประณีต มีวรรณะดี วรรณะทราม มีทุกข์ มีสุข  รู้ชัดหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมได้ฉะนี้

       ราชกุมาร!  นี้เป็นวิชชาที่ 2 ที่เราได้บรรลุแล้วในยามกลางแห่งราตรี  อวิชชาถูกทำลายแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว , ความมืดถูกทำลายแล้ว ความสว่างเกิดขึ้นแทนแล้ว, เช่นเดียวกับที่เกิดแก่ผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้วแลอยู่ , โดยควร

       เรานั้น ครั้นจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเฉพาะต่อ อาสวักขยญาณ , เราย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า “นี่ทุกข์ , นี่เหตุแห่งทุกข์ , นี่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ , นี่ทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งทุกข์ ; และเหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย , นี้เหตุแห่งอาสวะทั้งหลาย , นี้ความดับไม่มีเหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย , นี้เป็นทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย”

       เมื่อเรารู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็พ้นจาก กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ

       ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า จิตพ้นแล้ว  เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจที่ต้องทำ ได้ทำสำ เร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความ ( หลุดพ้น ) เป็นอย่างนี้ มิได้มีอีก

       ราชกุมาร!  นี่เป็นวิชชาที่ 3 ที่เราได้บรรลุแล้วในยามปลายแห่งราตรี  อวิชชาถูกทำลายแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว , ความมืดถูกทำลายแล้ว ความสว่างเกิดขึ้นแทนแล้ว , เช่นเดียวกับที่เกิดแก่ผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้วแลอยู่ , โดยควร

* * * ( ข้างบนนี้-ทั้งหมด ) คัดมาจากหนังสือ พุทธวจน เรื่อง ตถาคต  /  หัวข้อใหญ่ : เริ่มแต่ออกบรรพชาแล้วเที่ยวเสาะแสวงหาความรู้ ทรมานพระองค์ จนได้ตรัสรู้  /  หัวข้อย่อย : อาการแห่งการตรัสรู้  /  หัวข้อเลขที่ : 61  /  -บาลี ม. ม. ๑๓/๔๕๗/๕๐๕.1 * * * ยังพบใน สคารวสูตร -บาลี ม. ม. 13/685/754 , มหาสัจจกสูตร -บาลี มู. ม. 12/458/427 , ซึ่งตอนนี้ ปาสราสิสูตร ไม่มี , ต่อไปใน สคารวสูตรและมหาสัจจกสูตร ก็ไม่มี - ผู้แปล  /  หน้าที่ : 174 , 175 , 176 , 177 , 178 

- END -