พุทธวจน - คําสอนจากพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้า
เรื่อง จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน จิตไม่มีตัณหา เรียกว่าอยู่คนเดียว
เรื่อง จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน จิตไม่มีตัณหา เรียกว่าอยู่คนเดียว
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?”
มิคชาละ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจมีอยู่
ถ้าหากว่าภิกษุย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้
แก่ภิกษุผู้เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบ มัวเมาซึ่งรูปนั้นอยู่ นั่นแหละ นันทิ ( ความเพลิน ) ย่อมเกิดขึ้น
เมื่อ นันทิ มีอยู่ สาราคะ ( ความพอใจอย่างยิ่ง ) ย่อมมี
เมื่อ สาราคะ มีอยู่ สัญโญคะ ( ความผูกจิตติดกับอารมณ์ ) ย่อมมี
มิคชาละ! ภิกษุผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง”
( ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี
กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี
รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วยลิ้นก็ดี
โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี
และธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้มีนัยยะอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นด้วยจักษุ )
มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้จะส้องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าและป่าชัฏ ซึ่งเงียบสงัด มีเสียงรบกวนน้อย มีเสียงกึกก้องครึกโครมน้อย ปราศจากลมจากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของมนุษย์ เป็นที่สมควรแก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้ว ก็ตาม
ถึงกระนั้น ภิกษุนั้น เราก็ยังคงเรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น
ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ยังละไม่ได้แล้ว
เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น เราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง” ดังนี้
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว พระเจ้าข้า ?”
มิคชาละ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วยจักษุ เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่
ถ้าหากว่าภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้นไซร้
แก่ภิกษุผู้ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้น นั่นแหละ นันทิ ( ความเพลิน ) ย่อมดับ
เมื่อ นันทิ ไม่มีอยู่ สาราคะ ( ความพอใจอย่างยิ่ง ) ย่อมไม่มี
เมื่อ สาราคะ ไม่มีอยู่ สัญโญคะ ( ความผูกจิตติดกับอารมณ์ ) ย่อมไม่มี
มิคชาละ! ภิกษุผู้ ไม่ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน ( นันทิ ) นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว”
( ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี
กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี
รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วยลิ้นก็ดี
โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี
และธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้มีนัยยะอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นด้วยจักษุ )
มิคชาละ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้อยู่ในหมู่บ้าน อันเกลื่อนกล่นไปด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ด้วยพระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชาทั้งหลาย ด้วยเดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ทั้งหลาย ก็ตาม
ถึงกระนั้น ภิกษุนั้น เราก็เรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียวโดยแท้
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่าตัณหานั่นแล เป็นเพื่อนสองของภิกษุนั้น
ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ละเสียได้แล้ว
เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น เราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว” ดังนี้ แล
* * * ( ข้างบนนี้-ทั้งหมด ) คัดมาจากหนังสือ พุทธวจน เรื่อง มรรควิธีที่ง่าย / หัวข้อใหญ่ : การละนันทิ / หัวข้อย่อย : จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน จิตไม่มีตัณหา เรียกว่าอยู่คนเดียว / หัวข้อเลขที่ : 3 / -บาลี สฬา. สํ. 18/43-44/66-67. / หน้าที่ : 12 , 13 , 14 , 15
- END -