พุทธวจน - คําสอนจากพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้า
เรื่อง สุข-ทุกข์ ที่ได้รับไม่ใช่ผลของกรรมเก่าอย่างเดียว
เรื่อง สุข-ทุกข์ ที่ได้รับไม่ใช่ผลของกรรมเก่าอย่างเดียว
ภิกษุทั้งหลาย! เรากล่าวกะพวกนิครนถ์นั้นต่อไปอีกอย่างนี้ว่า
“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลาย! พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้น พวกท่านย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า แต่สมัยใด พวกท่านไม่มีความพยายามแรงกล้า ไม่มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้น พวกท่านย่อมไม่เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า”
พวกนิครนถ์รับว่า “พระโคดมผู้มีอายุ! สมัยใด พวกข้าพเจ้ามีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้น พวกข้าพเจ้าย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า สมัยใด พวกข้าพเจ้าไม่มีความพยายามแรงกล้า สมัยนั้นพวกข้าพเจ้าย่อมไม่เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า”
“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลาย! เท่าที่พูดกันมานี้เป็นอันว่า สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้น พวกท่านย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า แต่สมัยใด พวกท่านไม่มีความพยายามแรงกล้า ไม่มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้น พวกท่านย่อมไม่เสวยเวทนา อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่เป็นการสมควรแก่ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลายที่จะกล่าวว่า บุคคลเรานี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในกาลก่อน
และว่าเพราะหมดกรรมเก่าด้วยตบะ และเพราะการไม่ทำกรรมใหม่ กระแสแห่งกรรมต่อไปก็ไม่มีเพราะกระแสแห่งกรรมต่อไปไม่มีก็สิ้นทุกข์ เพราะสิ้นทุกข์ ก็สิ้นเวทนา เพราะสิ้นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็สูญสิ้นไป ดังนี้”
“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลาย! ถ้าสมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้น เวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความเพียรพยายามนั้นก็ยังตั้งอยู่ แม้เมื่อใด พวกท่านไม่มีความพยายามแรงกล้า ไม่มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้น เวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามพึงหยุดได้เอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนิครนถ์ผู้มีอายุก็ควรกล่าวได้ว่า บุคคลเรานี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในกาลก่อนและว่าเพราะหมดกรรมเก่าด้วยตบะ และเพราะการไม่ทำกรรมใหม่ กระแสแห่งกรรมต่อไปก็ไม่มีเพราะกระแสแห่งกรรมต่อไปไม่มี ก็สิ้นกรรม เพราะสิ้นกรรม ก็สิ้นทุกข์ เพราะสิ้นทุกข์ ก็สิ้นเวทนา เพราะสิ้นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็สูญสิ้นไป ดังนี้”
“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลาย! ก็เพราะเหตุที่ สมัยใด พวกท่านมีความพยายามแรงกล้า มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้น พวกท่านจึงเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า แต่สมัยใดพวกท่านไม่มีความพยายามแรงกล้า ไม่มีความเพียรแรงกล้า สมัยนั้น พวกท่านจึงไม่เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความพยายามแรงกล้า
พวกท่านนั้นเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อันเกิดแต่ความเพียรเองทีเดียว ย่อมเชื่อผิดไป เพราะ อวิชชา คือความไม่รู้ เพราะความหลงว่าบุคคลเรานี้ย่อมเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี ข้อนั้นทั้งหมดเป็นเพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในกาลก่อน และว่าเพราะหมดกรรมเก่าด้วยตบะ และเพราะไม่ทำกรรมใหม่ กระแสแห่งกรรมต่อไปก็ไม่มี เพราะกระแสแห่งกรรมต่อไปไม่มี ก็สิ้นกรรม เพราะสิ้นกรรม ก็สิ้นทุกข์ เพราะสิ้นทุกข์ก็สิ้นเวทนา เพราะสิ้นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็สูญสิ้นไป ดังนี้”
ภิกษุทั้งหลาย ! เรามีถ้อยคำ และความเห็นแม้อย่างนี้แล จึงไม่เล็งเห็นการโต้ตอบถ้อยคำ และความเห็นอันชอบด้วยเหตุอะไรๆ ในพวกนิครนถ์
ภิกษุทั้งหลาย! เรากล่าวกะพวกนิครนถ์นั้นต่อไปอีกอย่างนี้ว่า
“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลาย! พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลในปัจจุบัน ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในอนาคต ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด”
พวกนิครนถ์นั้นกล่าวว่า “ท่านผู้มีอายุ! ข้อนี้หามิได้เลย”
“และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลในอนาคต ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในปัจจุบัน ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด”
“ท่านผู้มีอายุ! ข้อนี้หามิได้เลย”
“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลาย! พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลเป็นสุข ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเป็นทุกข์ ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด”
“ท่านผู้มีอายุ! ข้อนี้หามิได้เลย”
“และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลเป็นทุกข์ ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเป็นสุข ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด”
“ท่านผู้มีอายุ! ข้อนี้หามิได้เลย”
“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลาย! พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว ขอกรรมนั้นอย่าพึงให้ผลเสร็จสิ้น ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด”
“ท่านผู้มีอายุ! ข้อนี้หามิได้เลย”
“และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลยังไม่เสร็จสิ้น ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเสร็จสิ้น ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด”
“ท่านผู้มีอายุ! ข้อนี้หามิได้เลย”
“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลาย! พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลมาก ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลน้อย ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด”
“ท่านผู้มีอายุ! ข้อนี้หามิได้เลย”
“และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผลน้อย ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลมาก ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด”
“ท่านผู้มีอายุ! ข้อนี้หามิได้เลย”
“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลาย! พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของให้ผล ขอกรรมนั้นจงเป็นของอย่าให้ผล ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด”
“ท่านผู้มีอายุ! ข้อนี้หามิได้เลย”
“และพวกท่านจะพึงปรารถนาได้ดังนี้หรือว่า กรรมใดเป็นของไม่ให้ผล ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผล ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด”
“ท่านผู้มีอายุ! ข้อนี้หามิได้เลย”
“ท่านผู้เป็นนิครนถ์ทั้งหลาย! เท่าที่พูดกันมานี้เป็นอันว่า พวกท่านจะพึงปรารถนาไม่ได้ ดังนี้ว่า กรรมใดเป็นของให้ผลในปัจจุบัน ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในอนาคต ... ว่ากรรมใดเป็นของให้ผลในอนาคต ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลในปัจจุบัน ... ว่ากรรมใดเป็นของให้ผลเป็นสุข ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเป็นทุกข์ ... ว่ากรรมใดเป็นของให้ผลเป็นทุกข์ ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเป็นสุข ...
ว่ากรรมใดเป็นของให้ผลเสร็จสิ้นแล้ว ขอกรรมนั้นอย่าพึงให้ผลเสร็จ ... ว่ากรรมใดเป็นของให้ผลยังไม่เสร็จสิ้น ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลเสร็จสิ้น ... ว่ากรรมใดเป็นของให้ผลมาก ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลน้อย ... ว่ากรรมใดเป็นของให้ผลน้อย ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผลมาก ... ว่ากรรมใดเป็นของให้ผล ขอกรรมนั้นจงเป็นของอย่าให้ผล ... ว่ากรรมใดเป็นของไม่ให้ผล ขอกรรมนั้นจงเป็นของให้ผล ด้วยความพยายามหรือด้วยความเพียรเถิด
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความพยายามของพวกนิครนถ์ผู้มีอายุก็ไร้ผล ความเพียรก็ไร้ผล”
ภิกษุทั้งหลาย! พวกนิครนถ์มีถ้อยคำ และความเห็นอย่างนี้ การกล่าวก่อนและการกล่าวตาม 10 ประการอันชอบด้วยเหตุของพวกนิครนถ์ ผู้มีถ้อยคำและความเห็นอย่างนี้ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิ
ภิกษุทั้งหลาย! ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้ทำกรรมชั่วไว้ก่อนแน่ ในบัดนี้ พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ เห็นปานนี้
ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่อิศวรเนรมิตให้ พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้ถูกอิศวรชั้นเลวเนรมิตมาแน่ ในบัดนี้ พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ เห็นปานนี้
ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่มีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้มีความบังเอิญชั่วแน่ ในบัดนี้ พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบ เห็นปานนี้
ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งอภิชาติ พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้มีอภิชาติเลวแน่ ในบัดนี้ พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ เห็นปานนี้
ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งความพยายามในปัจจุบัน พวกนิครนถ์ต้องเป็นผู้มีความพยายามในปัจจุบันเลวแน่ ในบัดนี้ พวกเขาจึงได้เสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้าเจ็บแสบเห็นปานนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในก่อน พวกนิครนถ์ต้องน่าตำหนิ
ถ้าหมู่สัตว์ไม่ได้เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำไว้ในกาลก่อน พวกนิครนถ์ก็ต้องน่าตำหนิ
ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่อิศวรเนรมิตให้ พวกนิครนถ์ต้องน่าตำหนิ
ถ้าหมู่สัตว์ไม่ได้เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่อิศวรเนรมิตให้ พวกนิครนถ์ก็ต้องน่าตำหนิ
ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่มีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ต้องน่าตำหนิ
ถ้าหมู่สัตว์ไม่ได้เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุที่มีความบังเอิญ พวกนิครนถ์ก็ต้องน่าตำหนิ
ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งอภิชาติ พวกนิครนถ์ต้องน่าตำหนิ
ถ้าหมู่สัตว์ไม่ได้เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งอภิชาติ พวกนิครนถ์ก็ต้องน่าตำหนิ
ถ้าหมู่สัตว์ย่อมเสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งความพยายามในปัจจุบัน พวกนิครนถ์ต้องน่าตำหนิ
ถ้าหมู่สัตว์ไม่ได้เสวยสุขและทุกข์ เพราะเหตุแห่งความพยายามในปัจจุบัน พวกนิครนถ์ก็ต้องน่าตำหนิ
ภิกษุทั้งหลาย! พวกนิครนถ์มีถ้อยคำ และความเห็นอย่างนี้ การกล่าวก่อนและการกล่าวตาม 10 ประการ อันชอบด้วยเหตุของพวกนิครนถ์ ผู้มีถ้อยคำและความเห็นอย่างนี้ ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิ
ภิกษุทั้งหลาย! ความพยายามไร้ผล ความเพียรไร้ผล อย่างนี้แล
ภิกษุทั้งหลาย! ก็อย่างไร ความพยายามจึงจะมีผล ความเพียรจึงจะมีผล
ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่มีทุกข์ทับถม 1
ไม่สละความสุขที่เกิดโดยธรรม 1
ไม่เป็นผู้หมกมุ่นในความสุขนั้น 1
เธอย่อมทราบชัดอย่างนี้ว่า ถึงเรานี้จักยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมื่อเริ่มตั้งความเพียร วิราคะย่อมมีได้ อนึ่ง ถึงเรานี้จะยังมีเหตุแห่งทุกข์ เมื่อวางเฉย บำเพ็ญอุเบกขาอยู่ วิราคะก็ย่อมมีได้
เธอนั้นจึงเริ่มตั้งความเพียร และบำเพ็ญอุเบกขาอยู่
ด้วยการทำเช่นนี้ ทุกข์นั้นก็เป็นอันเธอสลัดได้แล้ว
ภิกษุทั้งหลาย! อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
เมื่อเราอยู่ตามสบาย อกุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง กุศลธรรมย่อมเสื่อม
แต่เมื่อเราดำรงตนอยู่ในความลำบาก อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง
อย่ากระนั้นเลย เราพึงดำรงตนอยู่ในความลำบากเถิด
เธอนั้นจึงดำรงตนอยู่ในความลำบาก
เมื่อเธอดำรงตนอยู่ในความลำบากอยู่ อกุศลธรรมย่อมเสื่อม กุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง
สมัยต่อมา เธอไม่ต้องดำรงตนอยู่ในความลำบากอีก เพราะเหตุว่า ประโยชน์ที่เธอหวังนั้น สำเร็จแล้วตามที่เธอประสงค์
ภิกษุทั้งหลาย! ความพยายามมีผล ความเพียรมีผล แม้อย่างนี้
* * * ( ข้างบนนี้-ทั้งหมด ) คัดมาจากหนังสือ พุทธวจน เรื่อง แก้กรรม / หัวข้อใหญ่ : ข้อควรทราบเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องกรรม / หัวข้อย่อย : สุข-ทุกข์ ที่ได้รับไม่ใช่ผลของกรรมเก่าอย่างเดียว / หัวข้อเลขที่ : 16 / -บาลี อุปริ. ม. 14/7/8. / หน้าที่ : 47 , 48 , 49 , 50 , 51 , 52 , 53 , 54 , 55 , 56 , 57 , 58
- END -