พุทธวจน - คําสอนจากพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้า
เรื่อง ความไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
เรื่อง ความไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ภิกษุโมลิยผัคคุนะ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็ใครเล่า ย่อมกลืนกินซึ่ง วิญญาณาหาร พระเจ้าข้า ?”
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสตอบว่า
“นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย เราย่อมไม่กล่าวว่า ‘บุคคลย่อมกลืนกิน’ ดังนี้
ถ้าเราได้กล่าวว่า ‘บุคคลย่อมกลืนกิน’ ดังนี้ นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้ที่ควรถามขึ้นว่า ‘ก็ใครเล่า ย่อมกลืนกิน ( ซึ่งวิญญาณาหาร ) พระเจ้าข้า ?’ ดังนี้
ก็เรามิได้กล่าวอย่างนั้น ถ้าผู้ใดจะพึงถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! วิญญาณาหาร ย่อมมีเพื่ออะไรเล่าหนอ ?’ ดังนี้แล้ว
นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาที่ควรแก่ความเป็นปัญหา
คำเฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้นย่อมมีว่า
‘วิญญาณาหาร ย่อมมีเพื่อความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป
เมื่อภูตะ ( ความเป็นภพ ) นั้น มีอยู่ สฬายตนะ ย่อมมี
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ( การสัมผัส )’ ดังนี้”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็ใครเล่า ย่อมสัมผัส พระเจ้าข้า?"
นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย
เราย่อมไม่กล่าวว่า “บุคคล ย่อมสัมผัส” ดังนี้
ถ้าเราได้กล่าวว่า “บุคคล ย่อมสัมผัส” ดังนี้นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้ที่ควรถามขึ้นว่า “ก็ใครเล่า ย่อมสัมผัส พระเจ้าข้า?” ดังนี้
ก็เรามิได้กล่าวอย่างนั้น ถ้าผู้ใดจะพึงถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า “ผัสสะมี เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย พระเจ้าข้า ?” ดังนี้แล้ว นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาที่ควรแก่ความเป็นปัญหา
คำเฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า
“เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ( ความรู้สึกต่ออารมณ์)” ดังนี้
( จากนั้นได้มีการทูลถาม และพระผู้มีพระภาคทรงตรัสตอบไปทีละอาการของ ปฏิจจสมุปบาท ไปจนถึง เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา และพระองค์ได้ตรัสต่อไปอีกว่า )
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ( ความยึดมั่น )” ดังนี้
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ก็ใครเล่า ย่อมยึดมั่น พระเจ้าข้า?"
นั่นเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะเป็นปัญหาเลย เราย่อมไม่กล่าวว่า “บุคคลย่อมยึดมั่น” ดังนี้
ถ้าเราได้กล่าวว่า “บุคคลย่อมยึดมั่น” ดังนี้นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาในข้อนี้ที่ควรถามขึ้นว่า “ก็ใครเล่า ย่อมยึดมั่น พระเจ้าข้า?” ดังนี้
ก็เรามิได้กล่าวอย่างนั้น ถ้าผู้ใดจะพึงถามเราผู้มิได้กล่าวอย่างนั้น เช่นนี้ว่า “เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน พระเจ้าข้า?” ดังนี้แล้ว นั่นแหละจึงจะเป็นปัญหาที่ควรแก่ความเป็นปัญหา
คำเฉลยที่ควรเฉลยในปัญหาข้อนั้น ย่อมมีว่า
“เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ”
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
ผัคคุนะ! เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งผัสสายตนะทั้ง 6 นั้น นั่นเทียว จึงมีความดับแห่งผัสสะ
เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา
เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา
เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ
เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น
ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้แล
* * * ( ข้างบนนี้-ทั้งหมด ) คัดมาจากหนังสือ พุทธวจน เรื่อง แก้กรรม / หัวข้อใหญ่ : เรื่องเกี่ยวกับ “กรรม” ในเชิงปฏิจจสมุปบาท ( การที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา ) / หัวข้อย่อย : ความไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา / หัวข้อเลขที่ : 41 / -บาลี นิทาน. สํ. 16/15/32. / หน้าที่ : 155 , 156 , 157 , 158
- END -